๓๙    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๔๑
การเกิดขึ้นในสกุล   และหาได้อาศัยการเป็นผู้มีผิวพรรณงามเป็นต้นไม่   แต่ได้
ทรงอาศัย     ความที่พุทธรัตนะเป็นรัตนะที่ไม่มีประมาณด้วยคุณทั้งหลายมีสีล
ขันธ์และสมาธิขันธ์เป็นต้นในโลก   ตั้งแต่อเวจี  จนถึงภวัคคพรหมเป็นที่สุด.
         จึงทรงประกอบสัจวาจาว่า
                อิทฺปิ  พุทฺเธ   รตนํ  ปณีตํ
                เอเตน สจฺเจน สุวตฺถิ โหตุ
                        พุทธรัตนะแม้นี้เป็นรัตนะอันประณีต
                ด้วยสัจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแต่สัตว์
                ทั้งหลายดังนี้.
         เนื้อความแห่งพระคาถานั้นว่า  ทรัพย์เครื่องปลื้มใจหรือรัตนะอย่างใด
อย่างหนึ่งซึ่งมีอยู่ในโลกนี้หรือในโลกอื่น  หรือในสวรรค์ทั้งหลาย  พุทธรัตนะ
แม้นี้  ชื่อว่าประณีต  เพราะไม่เสมอเหมือนกับทรัพย์เครื่องปลื้มใจหรือรัตนะนั้น
ด้วยคุณทั้งหลายเหล่านั้น  ๆ ถ้าหากว่าคำที่กล่าวนี้   เป็นคำสัตย์จริง  ด้วยความ-
สัจนี้    ขอความสวัสดีจงมี  คือ  ขอความดีงาม  ได้แก่  ความไม่มีโรค  ความไม่
มีอุปัทวะ จงมีแก่ปาณะสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้.  ก็ในข้อนี้มีอธิบายว่า  จักษุ   ชื่อว่า
เป็นของสูญ    สูญจากความเป็นตน   หรือจากความเป็นของที่เกี่ยวเนื่องกับตน
ในประโยคทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้ว่า  "ดูก่อนอานนท์  จักษุแลชื่อว่าเป็นของสูญ
จากตนหรือจากสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกับตน"   แต่เมื่อถือเอาโดยประการนอกนี้   จักษุ
ก็จักไม่พึงสำเร็จด้วยคำว่า   ตน  หรือสิ่งที่เนื่องด้วยตน  ฉันใด   คำที่ว่ารัตนะ
อันประณีตก็พึงทราบเนื้อความนี้ว่า  ความเป็นรัตนะอันประณีต  คือรัตนภาพ
ประณีต    แต่เมื่อถือเอาโดยประการนอกนี้    พระผู้มีพระภาคเจ้าก็หาได้สำเร็จ
หน้า ๔๐