| เหนื่อยหน่ายเหล่านั้น. แต่นั้นเมื่อบรรลุคุณวิเศษ อยู่ในเสนาสนะอันสงัดใน |
| ราวป่า อันยินดีได้ยาก เกิดความกลัวรู้สึกหวาดสะดุ้ง เมื่อชนเหล่านั้นเกิด |
| ความกลัวความระแวง ไม่พอใจในรสของวิเวกอยู่ตลอดกาลนาน เกิดความ |
| สงสัยในการปฏิบัติว่า นี้คงไม่ใช่ทางแน่ เมื่อบรรเทาความสงสัยนั้นอยู่ เกิด |
| มานะ (ถือตัว) มักขะ (ลบหลู่) ถัมภะ (หัวดื้อ) เพราะบรรลุคุณวิเศษ |
| เพียงเล็กน้อย เมื่อบรรเทามานะ มักขะ ถัมภะอยู่ ย่อมเกิด ลาภ สักการะ |
| และความสรรเสริญ เพราะอาศัยการบรรลุคุณวิเศษยิ่งไปกว่านั้น. ผู้หมกมุ่น |
| อยู่ในลาภ ประกาศธรรมปฏิรูป (ธรรมเทียม) บรรลุทางผิด ตั้งอยู่ในทาง |
| ผิดนั้น ย่อมยกตนข่มผู้อื่นด้วยชาติเป็นต้น ฉะนั้นพึงทราบความที่กามเป็นต้น |
| เป็นเสนาที่ ๑. |
| พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงเสนา ๑๐ อย่างอย่างนี้แล้ว เพราะ |
| เสนานั้นย่อมเป็นไปเพื่อความอุปการะมารผู้ใจดำ เพราะประกอบด้วยธรรมดำ |
| ฉะนั้น เมื่อจะทรงอ้างกะมารนั้นว่า ตว เสนา เสนาของท่าน จึงตรัสว่า |
| เอสา นมุจิ เต เสนา กณฺหสฺสาภิปฺปหารินี ดูก่อนมาร เสนาของท่าน |
| นี้มีปรกติกำจัดคนผู้มีธรรมคำ ดังนี้. |
| ในบทเหล่านั้น บทว่า อภิปฺปหารินี ได้แก่ กำจัด ทำร้าย |
| ทำอันตรายแก่สมณพราหมณ์ทั้งหลาย. บทว่า น นํ อสูโร ชินาติ เชตฺวา |
| จ ลภเต สุขํ คนผู้ไม่กล้าย่อมไม่ชนะเสนาของท่านนั้น ครั้นชนะแล้วย่อม |
| ได้ความสุข ดังนี้ ความว่า คนผู้ไม่กล้าคือคนที่ไม่มีความเพ่งเล็งในกายและ |
| ในชีวิต ย่อมไม่ชนะเสนาของท่าน แต่คนกล้าย่อมชนะได้ ครั้นชนะแล้วย่อม |