| ถามว่า ทำไมไม่กลัว. ทรงตอบว่า เพราะเราได้ทำบุญบารมีมีทานบารมีเป็นต้น. |
| มารทูลถามว่า ใครรู้ว่าท่านได้ทำบารมีมีทานบารมีเป็นต้น. ตรัสว่า ดูก่อนมารผู้ |
| ใจบาป ประโยชน์อะไรด้วยหาพยานในภพนี้ ก็เมื่อเราเป็นเวสสันดรในภพหนึ่ง |
| ได้ทำทานอันใดไว้ ด้วยอานุภาพของทานนั้น มหาปฐพีนี้แหละเป็นพยาน |
| ได้เกิดไหวโดยประการ ๖ อย่างถึง ๗ ครั้ง. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ |
| แล้ว มหาปฐพีได้ไหวลงไปถึงที่สุดน้ำคำรามเสียงน่ากลัว มารได้ยินดุจสายฟ้า |
| ตกใจกลัว ขับไล่เสนาหนีไปพร้อมด้วยบริษัท. |
| ลำดับนั้น พระมหาบุรุษทรงตรัสรู้วิชา ๓ โดย ๓ ยาม พออรุณขึ้น |
| ทรงเปล่งอุทานนี้ว่า อเนกชาติสํสารํ ฯเปฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา ความว่า |
| เราแสวงหานายช่างเรือนคืออัตภาพ เมื่อไม่พบได้ท่องเที่ยวไปสู่สงสารนับชาติ |
| ไม่น้อย ความเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์ ดูก่อนช่างทำเรือน เราเห็นท่านแล้ว ท่าน |
| ทำเรือนอีกต่อไปไม่ได้แล้ว ซี่โครงของท่านเราหักเสียแล้ว เรือนยอดเรารื้อ |
| ออกแล้ว จิตของเราถึงวิสังขาร เพราะถึงความสิ้นตัณหาแล้ว ดังนี้. |
| มารกลับมาด้วยได้ยินเสียงอุทานว่า สิทธัตถะนี้ปฏิญาณณว่า เราเป็น |
| พระพุทธเจ้าแล้ว จึงคิดว่า เอาเถิด เราจะติดตามเพื่อดูความประพฤติ หาก |
| พระพุทธเจ้าผู้นี้จักมีความผิดพลาดทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี เราจักทำลายเสีย |
| จึงติดตามไปตลอด ๖ ปี ณ ที่ประทับของพระโพธิสัตว์ในกาลก่อน แล้วติดตาม |
| พระองค์ผู้ถึงความเป็นพุทธะแล้วอีก ๑ ปี. ถึงกระนั้นมารก็ไม่เห็นความผิด- |
| พลาดไร ๆ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้กล่าวคาถาด้วยความท้อใจว่า สตฺต |
| วสฺสานิ ตลอด ๗ ปี ดังนี้เป็นต้น. |
| ในบทเหล่านั้น บทว่า โอตารํ ได้ช่อง. บทว่า นาธิคจฺฉิสฺสํ |
| คือเราไม่ประสบ. บทว่า เมทวณฺณํ ได้แก่ คล้ายก้อนมันข้น. บทว่า |