| ข้อนั้นเป็นที่ ๒ บุคคลพึงกล่าวคำอันเป็นที่รัก |
| ไม่พึงกล่าวคำอันไม่เป็นที่รัก ข้อนั้นเป็นที่ ๓ |
| บุคคลพึงกล่าวคำสัตย์ ไม่พึงกล่าวคำเหลาะ- |
| แหละ ข้อนั้นเป็นที่ ๔ ดังนี้. |
| [๓๕๗] ลำดับนั้นแล ท่านพระวังคีสะลุกจากอาสนะ ห่มจีวรเฉวียง- |
| บ่าข้างหนึ่ง ประณมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ แล้วได้ |
| กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรมเทสนา ย่อมแจ่มแจ้งแก่ |
| ข้าพระองค์ ข้าแต่พระสุคต พระธรรมเทศนาย่อมแจ่มแจ้งแก่ข้าพระองค์. |
| พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนวังคีสะ ธรรมเทศนาจงแจ่มแจ้งกะเธอเถิด. |
| ลำดับนั้นแล ท่านพระวังคีสะได้ชมเชยด้วยคาถาทั้งหลายอันสมควร |
| ในที่เฉพาะพระพักตร์ว่า |
| บุคคลพึงกล่าววาจาอันไม่เป็นเครื่อง |
| ทำตนให้เดือดร้อน และไม่พึงเบียดเบียน |
| ผู้อื่น วาจานั้นเป็นสุภาษิตแท้. |
| บุคคลพึงกล่าวแต่วาจาอันเป็นที่รัก |
| อันชนชื่นชม ไม่ถือเอาคำอันลามก กล่าว |
| วาจาอันเป็นที่รักของผู้อื่น. |
| คำสัตย์แลเป็นวาจาไม่ตาย ธรรมนี้ |
| เป็นของเก่า สัตบุรุษทั้งหลายตั้งมั่นแล้วใน |
| คำสัตย์ ที่เป็นอรรถและเป็นธรรม. |