| กล่าวเเต่คำที่เป็นสุภาษิต ไม่กล่าวคำที่เป็นทุพภาษิต. ด้วยบทว่า ธมฺมํเยว |
| ภาสติ โน อธมฺมํ ย่อมกล่าวคำที่เป็นธรรมเท่านั้น ไม่กล่าวคำที่ไม่เป็นธรรม |
| นี้ ท่านกล่าวถึงคำที่เป็นปัญญา ไม่ปราศจากธรรมเว้นจากโทษคือคำ |
| เพ้อเจ้อ. ด้วยบททั้งสองนี้ ท่านกล่าวถึงคำน่ารักเป็นสัจจะ เว้นจากคำหยาบ |
| และคำเหลาะแหละ. |
| พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงองค์เหล่านั้นโดยประจักษ์ จึง |
| ทรงสรุปคำนั้นด้วยบทมีอาทิว่า อิเมหิ โข ดังนี้. ส่วนโดยพิสดารในบทนี้ |
| พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วาจาประกอบด้วยองค์ ๔ |
| เหล่านี้แล เป็นวาจาสุภาษิต ทรงปฏิเสธคำที่พวกอื่นบัญญัติว่า วาจาสุภาษิต |
| ประกอบด้วยส่วนทั้งหลายมีปฏิญญาเป็นต้น ด้วยบทนามเป็นต้น และด้วยการ |
| ประกอบลิงค์ วจนะ วิภัตติ์ กาล และการกเป็นต้น จากธรรม. |
| วาจาประกอบด้วยการพูดส่อเสียดเป็นต้น แม้ถึงพร้อมด้วยส่วนเป็นต้น |
| ก็เป็นวาจาทุพภาษิตอยู่นั่นเอง เพราะเป็นวาจาที่นำความฉิบหายมาให้แก่ตน |
| และคนอื่น. วาจาประกอบด้วยองค์ ๔ เหล่านี้ แม้หากว่านับเนื่องด้วยภาษา |
| ของชาวมิลักขะ (คนป่าเถื่อน) หรือนับเนื่องด้วยภาษาของหญิงรับใช้และนักขับ |
| ร้องแม้ดังนั้นก็เป็นวาจาสุภาษิตได้เหมือนกัน เพราะนำโลกิยสุขและโลกุตรสุข |
| มาให้. เมื่อหญิงรับใช้ผู้ดูแลข้าวกล้าที่ข้างทางในเกาะสีหลขับเพลงขับเกี่ยวด้วย |
| ชาติ ชรา พยาธิ และมรณะด้วยภาษาสีหล ภิกษุผู้บำเพ็ญวิปัสสนาประมาณ |
| ๖๐ รูป เดินไปตามทางได้ยินเข้าก็บรรลุพระอรหัต ณ ที่นั้นเอง นี่เป็นตัวอย่าง. |
| อนึ่ง ภิกษุผู้เริ่มวิปัสสนาชื่อติสสะไปใกล้สระปทุม เมื่อหญิงรับใช้เด็ดดอก |
| ปทุมในสระปทุมขับเพลงขับนี้ว่า |