๔๑๖    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๔๑๘
กล่าวเเต่คำที่เป็นสุภาษิต    ไม่กล่าวคำที่เป็นทุพภาษิต.   ด้วยบทว่า  ธมฺมํเยว
ภาสติ  โน   อธมฺมํ  ย่อมกล่าวคำที่เป็นธรรมเท่านั้น   ไม่กล่าวคำที่ไม่เป็นธรรม
นี้    ท่านกล่าวถึงคำที่เป็นปัญญา     ไม่ปราศจากธรรมเว้นจากโทษคือคำ
เพ้อเจ้อ.  ด้วยบททั้งสองนี้    ท่านกล่าวถึงคำน่ารักเป็นสัจจะ  เว้นจากคำหยาบ
และคำเหลาะแหละ.
         พระผู้มีพระภาคเจ้า     เมื่อจะทรงแสดงองค์เหล่านั้นโดยประจักษ์  จึง
ทรงสรุปคำนั้นด้วยบทมีอาทิว่า   อิเมหิ  โข  ดังนี้.  ส่วนโดยพิสดารในบทนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย    วาจาประกอบด้วยองค์  ๔
เหล่านี้แล   เป็นวาจาสุภาษิต   ทรงปฏิเสธคำที่พวกอื่นบัญญัติว่า   วาจาสุภาษิต
ประกอบด้วยส่วนทั้งหลายมีปฏิญญาเป็นต้น   ด้วยบทนามเป็นต้น    และด้วยการ
ประกอบลิงค์  วจนะ   วิภัตติ์   กาล   และการกเป็นต้น    จากธรรม.
         วาจาประกอบด้วยการพูดส่อเสียดเป็นต้น  แม้ถึงพร้อมด้วยส่วนเป็นต้น
ก็เป็นวาจาทุพภาษิตอยู่นั่นเอง     เพราะเป็นวาจาที่นำความฉิบหายมาให้แก่ตน
และคนอื่น.    วาจาประกอบด้วยองค์  ๔  เหล่านี้   แม้หากว่านับเนื่องด้วยภาษา
ของชาวมิลักขะ (คนป่าเถื่อน) หรือนับเนื่องด้วยภาษาของหญิงรับใช้และนักขับ
ร้องแม้ดังนั้นก็เป็นวาจาสุภาษิตได้เหมือนกัน     เพราะนำโลกิยสุขและโลกุตรสุข
มาให้. เมื่อหญิงรับใช้ผู้ดูแลข้าวกล้าที่ข้างทางในเกาะสีหลขับเพลงขับเกี่ยวด้วย
ชาติ  ชรา  พยาธิ   และมรณะด้วยภาษาสีหล   ภิกษุผู้บำเพ็ญวิปัสสนาประมาณ
๖๐  รูป  เดินไปตามทางได้ยินเข้าก็บรรลุพระอรหัต  ณ  ที่นั้นเอง  นี่เป็นตัวอย่าง.
อนึ่ง    ภิกษุผู้เริ่มวิปัสสนาชื่อติสสะไปใกล้สระปทุม     เมื่อหญิงรับใช้เด็ดดอก
ปทุมในสระปทุมขับเพลงขับนี้ว่า
หน้า ๔๑๗