| บุรุษนั้นได้บรรลุปัจเจกโพธิญาณ พร้อมกับบุตรทั้งหลาย. อนึ่ง |
| ยังมีตัวอย่างผู้อื่นที่บรรลุอริยภูมิด้วยอุบายเช่นนี้อีก. นั้นยังไม่น่าอัศจรรย์นัก |
| ภิกษุ ๕๐๐ รูปฟังคาถาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ฉลาดในอาสยานุสยญาณ (รู้ |
| อัธยาศัยของสัตว์) ตรัสไว้โดยนัยเป็นต้นว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา |
| สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง ดังนี้ ได้บรรลุพระอรหัต. อนึ่ง เทวดา |
| และมนุษย์เหล่าอื่นไม่น้อย ฟังกถาภาษิตประกอบด้วยขันธ์และอายตนะเป็นต้น |
| ได้บรรลุพระอรหัต. |
| วาจาประกอบด้วยองค์ ๔ เหล่านี้อย่างนี้ แม้หากว่าเป็นวาจาที่เนื่อง |
| ด้วยภาษาของพวกมิลักขะ และเนื่องด้วยภาษาของหญิงรับใช้ และนักขับร้อง |
| พึงทราบว่าเป็นวาจาสุภาษิตเหมือนกัน. เพราะเป็นวาจาสุภาษิตนั่นเอง จึงเป็น |
| วาจาไม่มีโทษ และวิญญูชน คือ กุลบุตรผู้ต้องการประโยชน์ ยึดอรรถไม่ยึด |
| พยัญชนะไม่พึงติเตียน. |
| บทว่า อิทมโวจ ภควา คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสลักษณะ |
| ของคำเป็นสุภาษิตนี้แล้ว. บทว่า อิทํ วตฺวาน สุคโต อถาปรํ เอตทโวจ |
| สตฺถา พระสุคตผู้ศาสดาได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีก ความว่า พระสุคต |
| ตรัสลักษณะนี้แล้ว พระศาสดาได้ตรัสอย่างอื่นต่อไปอีก. พระสังคีติกาจารย์ |
| ครั้นแสดงคาถาที่ควรกล่าวในบัดนี้แล้ว จึงกล่าวบทนี้ทั้งหมด. |
| ในบทเหล่านั้น บทว่า อปรํ ท่านกล่าวหมายถึงคำเป็นคาถาประพันธ์. |
| คาถาประพันธ์นั้นมีสองอย่าง แสดงถึงประโยชน์อันหมายถึงคนที่มาภายหลัง |
| หรือการไม่ได้ฟัง การได้ฟัง การทรงจำและการทำให้มั่นเป็นต้น และแสดงถึง |