๔๑๙    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๔๒๑
ความวิเศษของประโยชน์   โดยการชี้แจงถึงประโยชน์อันจะให้เกิดความเสียหาย
ด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งมาก่อน  ดุจในประโยคมีอาทิว่า ปุริสสฺส  หิ  ชาตสฺส
กุ€ารี   ชายเต   มุเข  ขวานเกิดในปากของบุรุษผู้เกิดแล้ว.   แต่ในที่นี้เป็นดำ
แสดงถึงประโยชน์อย่างเดียว.  ในบทเหล่านั้นบทว่า  สนฺโต   คือพระพุทธเจ้า
เป็นต้น.   จริงอยู่    สัตบุรุษเหล่านั้นย่อมกล่าวคำอันเป็นสุภาษิตว่าเป็นคำสูงสุด
ประเสริฐสุด.   บทว่า  ทุติยํ   ตติยํ   จตุตฺถํ  นี้   ท่านกล่าวหมายมุ่งถึงลำดับ
ที่แสดงไว้ก่อนแล้ว.
         ก็ในที่สุดแห่งคาถา  พระวังคีสเถระ   เลื่อมใสสุภาษิตของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า.   พระสังคีติกาจารย์เมื่อแสดงคำที่พระวังคีสเกระทำอาการเลื่อมใส  และ
คำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัส  จึงกล่าวคำมีอาทิว่า   อถโข  อายสฺมา ดังนี้.
         ในบทเหล่านั้น   บทว่า  ปฏิภาติ  มํ  คือพระธรรมเทศนาย่อมแจ่มแจ้ง
แก่ข้าพระองค์. บทว่า ปฏิภาตุ ตํ คือ พระธรรมเทศนาจงแจ่มแจ้งแก่เธอเถิด.
บทว่า  สารุปฺปาหิ  คือ  สมควร.  บทว่า  อภิตฺถวิ  คือ สรรเสริญ. บทว่า
น  ตาปเย   คือไม่ให้ผู้อื่นเดือดร้อนด้วยความร้อนใจ.   บทว่า  น  วิหึเสยฺย
คือไม่พึงทำลายเบียดเบียนกันและกัน.    บทว่า  สา   เว   วาจา   คือวาจานั้น
เป็นสุภาษิตโดยส่วนเดียว.    พระวังคีสเถระชมพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยวาจาอัน
ไม่ส่อเสียดด้วยเหตุเพียงนี้.  บทว่า  ปฏินนฺทิตา  ได้แก่  มีใจร่าเริงยินดีน่ารัก
จนปรากฏออกเฉพาะหน้า.   บทว่า  ยํ  อนาทาย  ปาปานิ  ปเรสํ  ภาสเต
ปิยํ  บุคคลพึงกล่าววาจาอันเป็นที่รักไม่ถือเอาคำอันลามกของผู้อื่น   อธิบายว่า
บุคคลเมื่อจะกล่าววาจาใด      ย่อมกล่าวคำน่ารักไพเราะด้วยอรรถและพยัญชนะ
หน้า ๔๒๐