พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสความที่นิพพานธรรม เป็นธรรมไม่ |
เสมอด้วยธรรมเหล่าอื่นอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อความเข้าไปสงบแห่งอุปัทวะ |
ซึ่งบังเกิดขึ้นแล้วแก่สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ทรงอาศัยความที่ธรรมรัตนะ คือ |
พระนิพพาน เป็นธรรมไม่เช่นกับคุณธรรมทั้งหลาย มีขยธรรม วิราคธรรม |
อมตธรรม และปณีตธรรม จึงทรงประกอบสัจวาจาว่า |
อิทมฺปิ ธมฺเม รตนํ ปณีตํ |
เอเตน สจฺเจน สุวตฺถิ โหตุ. |
ธรรมรัตนะแม้นี้เป็นรัตนะอันประ- |
ณีต ด้วยสัจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ |
สัตว์เหล่านี้ ดังนี้. |
เนื้อความแห่งคาถานั้น บัณฑิตพึงทราบโดยนัยที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้ว |
ในคาถาก่อนนั้นแล อาชญา (อำนาจป้องกัน) แห่งคาถาแม้นี้ อันอมนุษย์ |
ทั้งหลายในแสนโกฏิจักรวาลได้รับแล้ว. |
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสสัจวาจา ด้วยธรรมคุณคือพระนิพพาน |
อย่างนี้แล้ว แม้ในบัดนี้เมื่อจะตรัสธรรมคุณคือมรรค จึงทรงเริ่มว่า ยมฺพุทฺธ- |
เสฏฺโ ปริวณฺณยี สุจึ ดังนี้. |
ในพระคาถานี้ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้. |
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า พุทธะ โดยนัยว่า พระองค์ทรง |
ตรัสรู้สัจจะทั้งหลาย ดังนี้เป็นต้น, ชื่อว่า ประเสริฐที่สุด เพราะอรรถว่า พระ |