| พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสคุณแห่งพระสังฆรัตนะด้วยอำนาจบุคคลผู้ |
| เป็นขีณาสพซึ่งเสวยความสุขอันเกิดจากผลสมาบัติเท่านั้น อย่างนี้แล้ว บัดนี้ |
| ทรงอาศัยคุณนั้นเอง ประกอบสัจวาจาว่า อิทมฺปิ สงฺเฆ รตนํ ปณีตํ |
| เป็นต้น. |
| เนื้อความแห่งพระคาถานั้นพึงทราบโดยนัย ที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้ในตอน |
| ต้นนั้นแล. |
| อาชญาแห่งคาถาแม้นี้ อันอมนุษย์ทั้งหลายในแสนโกฎิจักรวาลรับแล้ว. |
| พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสสัจจะ อันมีพระสงฆ์เป็นตั้ง ด้วยคุณ |
| แห่งพระขีณาสพบุคคลทั้งหลายอย่างนี้แล้ว บัดนี้เพื่อจะกล่าวถึงคุณของพระ |
| โสดาบันอันประจักษ์แก่ชนจำนวนมากเท่านั้น จึงทรงเริ่มว่า ยถินฺทขีโล |
| ปวึ สิโต สิยา ดังนี้เป็นต้น. |
| บรรดาบทเหล่านั้น คำว่า ยถา เป็นคําอุปมา. |
| คำว่า อินฺทขีโล นี้เป็นชื่อแห่งเสาไม้แก่น ที่เขาขุดแผ่นดินตอกลง |
| ไปลึก ๘ ศอก หรือ ๑๐ ศอก ที่ระหว่างประตูเพื่อป้องกันประตูพระนคร. |
| บทว่า ปวึ ได้แก่ พื้นดิน. |
| บทว่า สิโต ได้แก่ ฝั่งตั้งไว้ภายในดิน. |
| บทว่า สิยา ได้แก่ พึงเป็น. |
| สองบทว่า จตุพฺภิ วาเตภิ คือเพราะลมที่มาจากทิศทั้งสี่. |
| บทว่า อสมฺปกมฺปิโย ได้แก่ ไม่อาจจะให้หวั่นไหวหรือจะให้ |
| เคลื่อนได้. |