อันมีเบื้องต้นและที่สุด อันใคร ๆ ไม่รู้แล้วสิ้น ๗ ภพ จะไม่ทำภพที่ ๘ ให้ |
บังเกิดขึ้น เพราะดับนามรูปเหล่านั้นเสียได้ เพราะนามรูปถึงการตั้งอยู่ไม่ได้ |
แต่ได้เจริญวิปัสสนาในภพที่ ๗ นั่นเอง ก็จะได้บรรลุพระอรหันต์. |
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสคุณแห่งสังฆรัตนะด้วยอำนาจแห่งพระ |
โสดาบันผู้สัตตักขัตตุปรมะอย่างนี้แล้ว บัดนี้ทรงอาศัยคุณนั้นนั่นเอง ทรง |
ประกอบสัจวาจาว่า อิทฺมปิ สงฺเฆ รตนํ ปณีตํ ดังนี้. |
เนื้อความแห่งบาทคาถานั้น พึงทราบโดยนัยอันข้าพเจ้ากล่าวแล้วใน |
ตอนต้นนั้นแล อาชญาแห่งคาถาแม้นี้ อมนุษย์ในแสนโกฏิจักรวาลได้รับแล้ว |
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสสัจจะ อันมีพระสงฆ์เป็นที่ตั้ง ด้วย |
คุณคือการไม่ทรงคำนึงถึงภพที่ ๘ ของพระโสดาบัน ผู้สัตตักขัตตุปรมะอย่างนี้ |
แล้ว บัดนี้เพื่อจะตรัสถึงคุณของพระโสดาบันนั้นนั่นเอง แม้ผู้ยังต้องเกิดอยู่ |
สิ้น ๗ ภพว่ายังพิเศษกว่าบุคคลทั้งหลายเหล่าอื่น ซึ่งยังละความยึดมั่นในภพ |
ไม่ได้จึงทรงเริ่มว่า สหาวสฺส ทสฺสนสมฺปทาย ดังนี้เป็นต้น. |
ในคาถานั้น ศัพท์ว่า สหาว ได้แก่ พร้อมนั้นเอง. |
บทว่า อสฺส ได้แก่ พระโสดาบันจำพวกใดจำพวกหนึ่ง ในบรรดา |
พระโสดาบันทั้ง ๓ จำพวก ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วว่า พระโสดาบัน |
เหล่านั้นย่อมไม่ถือเอาภพที่ ๘ บังเกิดขึ้น. |
บทว่า ทสฺสนสมฺปทาย ได้แก่ ด้วยความถึงพร้อมด้วยโสดาปัตติ- |
มรรค จริงอยู่โสดาปัตติมรรค ท่านเรียกว่า ทัสสนะ เพราะเห็นพระนิพพานได้. |