๕๕    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๕๗
อันมีเบื้องต้นและที่สุด   อันใคร ๆ   ไม่รู้แล้วสิ้น ๗ ภพ   จะไม่ทำภพที่ ๘ ให้
บังเกิดขึ้น  เพราะดับนามรูปเหล่านั้นเสียได้   เพราะนามรูปถึงการตั้งอยู่ไม่ได้
แต่ได้เจริญวิปัสสนาในภพที่ ๗ นั่นเอง  ก็จะได้บรรลุพระอรหันต์.
         พระผู้มีพระภาคเจ้า    ครั้นตรัสคุณแห่งสังฆรัตนะด้วยอำนาจแห่งพระ
โสดาบันผู้สัตตักขัตตุปรมะอย่างนี้แล้ว     บัดนี้ทรงอาศัยคุณนั้นนั่นเอง    ทรง
ประกอบสัจวาจาว่า  อิทฺมปิ    สงฺเฆ  รตนํ  ปณีตํ  ดังนี้.
         เนื้อความแห่งบาทคาถานั้น    พึงทราบโดยนัยอันข้าพเจ้ากล่าวแล้วใน
ตอนต้นนั้นแล  อาชญาแห่งคาถาแม้นี้    อมนุษย์ในแสนโกฏิจักรวาลได้รับแล้ว
         พระผู้มีพระภาคเจ้า  ครั้นตรัสสัจจะ   อันมีพระสงฆ์เป็นที่ตั้ง    ด้วย
คุณคือการไม่ทรงคำนึงถึงภพที่  ๘ ของพระโสดาบัน   ผู้สัตตักขัตตุปรมะอย่างนี้
แล้ว   บัดนี้เพื่อจะตรัสถึงคุณของพระโสดาบันนั้นนั่นเอง     แม้ผู้ยังต้องเกิดอยู่
สิ้น ๗ ภพว่ายังพิเศษกว่าบุคคลทั้งหลายเหล่าอื่น     ซึ่งยังละความยึดมั่นในภพ
ไม่ได้จึงทรงเริ่มว่า  สหาวสฺส  ทสฺสนสมฺปทาย  ดังนี้เป็นต้น.
         ในคาถานั้น  ศัพท์ว่า  สหาว  ได้แก่ พร้อมนั้นเอง.
         บทว่า   อสฺส  ได้แก่ พระโสดาบันจำพวกใดจำพวกหนึ่ง  ในบรรดา
พระโสดาบันทั้ง ๓ จำพวก  ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วว่า  พระโสดาบัน
เหล่านั้นย่อมไม่ถือเอาภพที่  ๘  บังเกิดขึ้น.
         บทว่า  ทสฺสนสมฺปทาย   ได้แก่ ด้วยความถึงพร้อมด้วยโสดาปัตติ-
มรรค จริงอยู่โสดาปัตติมรรค ท่านเรียกว่า ทัสสนะ เพราะเห็นพระนิพพานได้.
หน้า ๕๖