๕๘    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๖๐
สกฺกายทิฏฺ€ิ  วิจิกิจฺฉิตญฺจ  สีลพฺพตํ  วาปิ  นี้  อันพระโสดาบันละเสียได้
ด้วยความถึงพร้อมแห่งการเห็นทุกข์  ละวิจิกิจฉาเสียได้ ด้วยความถึงพร้อมแห่ง
การเห็นสมุทัย  ละสีลัพพตปรามาสเสียได้  ด้วยการเห็นพระนิพพานด้วยมรรค.
         พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงการละกิเลส  แห่งพระโสดาบันบุคคล
อย่างนี้แล้ว    บัดนี้เมื่อจะทรงแสดงการละวิปากวัฏ      ในเมื่อกิเลสวัฏยังมีอยู่
จึงตรัสว่า  จตูหปาเยหิ  จ  วิปฺปมุตฺโต  เป็นต้น.
         ในพระคาถานั้น    นรก  สัตว์เดรัจฉาน  ปิตติวิสัยและอสุรกาย  ชื่อว่า
อบาย ๔  อธิบายว่า   ก็พระอริยบุคคล  (โสดาบัน)  นี้   แม้อุบัติอยู่ในภพ ๗
(๗ ชาติ)  ก็พ้นแล้วจากอบายทั้ง ๔ เหล่านั้น.
         พระผู้มีพระภาคเจ้า     ครั้นทรงแสดงถึงการที่พระโสดาบันนั้นละ
วิปากวัฏได้แล้ว    บัดนี้    เมื่อจะทรงแสดงถึงการละแม้กรรมวัฏอันเป็นมูลราก
ของวิปากวัฏนี้   จึงตรัสว่า  ฉ  จาภิ€านานิ อภพฺโพ  กาตุํ  เป็นผู้ไม่ควร
เพื่อจะทำอภิฐาน ๖.
          กรรมที่หยาบช้าชื่อว่า  อภิฐาน  ก็พระโสดาบันนี้เป็นผู้ไม่ควรเพื่อจะ
ทำอภิฐานเหล่านั้น  ก็อภิฐาน ๖ เหล่านี้  ผู้ศึกษาพึงทราบว่า กรรมคือ มาตุฆาต
ปิตุฆาต  อรหันตฆาต    โลหิตุปบาท   สังฆเภท   และการถือศาสดาอื่น   ซึ่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในคัมภีร์เอกนิบาต     โดยนัยว่า     ภิกษุทั้งหลาย
ก็ข้อที่บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ     จะพึงฆ่ามารดานี้    ไม่ใช่ฐานะ
ไม่ใช่โอกาส    ดังนี้เป็นต้น     แม้ว่าพระอริยบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ    จะ
ไม่พึงฆ่า   แม้มดดำมดแดงก็จริง  แต่ถึงกระนั้น   อภิฐาน ๖ เหล่านั้น  พระผู้มี-
หน้า ๕๙