สกฺกายทิฏฺิ วิจิกิจฺฉิตญฺจ สีลพฺพตํ วาปิ นี้ อันพระโสดาบันละเสียได้ |
ด้วยความถึงพร้อมแห่งการเห็นทุกข์ ละวิจิกิจฉาเสียได้ ด้วยความถึงพร้อมแห่ง |
การเห็นสมุทัย ละสีลัพพตปรามาสเสียได้ ด้วยการเห็นพระนิพพานด้วยมรรค. |
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงการละกิเลส แห่งพระโสดาบันบุคคล |
อย่างนี้แล้ว บัดนี้เมื่อจะทรงแสดงการละวิปากวัฏ ในเมื่อกิเลสวัฏยังมีอยู่ |
จึงตรัสว่า จตูหปาเยหิ จ วิปฺปมุตฺโต เป็นต้น. |
ในพระคาถานั้น นรก สัตว์เดรัจฉาน ปิตติวิสัยและอสุรกาย ชื่อว่า |
อบาย ๔ อธิบายว่า ก็พระอริยบุคคล (โสดาบัน) นี้ แม้อุบัติอยู่ในภพ ๗ |
(๗ ชาติ) ก็พ้นแล้วจากอบายทั้ง ๔ เหล่านั้น. |
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงถึงการที่พระโสดาบันนั้นละ |
วิปากวัฏได้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงถึงการละแม้กรรมวัฏอันเป็นมูลราก |
ของวิปากวัฏนี้ จึงตรัสว่า ฉ จาภิานานิ อภพฺโพ กาตุํ เป็นผู้ไม่ควร |
เพื่อจะทำอภิฐาน ๖. |
กรรมที่หยาบช้าชื่อว่า อภิฐาน ก็พระโสดาบันนี้เป็นผู้ไม่ควรเพื่อจะ |
ทำอภิฐานเหล่านั้น ก็อภิฐาน ๖ เหล่านี้ ผู้ศึกษาพึงทราบว่า กรรมคือ มาตุฆาต |
ปิตุฆาต อรหันตฆาต โลหิตุปบาท สังฆเภท และการถือศาสดาอื่น ซึ่ง |
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในคัมภีร์เอกนิบาต โดยนัยว่า ภิกษุทั้งหลาย |
ก็ข้อที่บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ จะพึงฆ่ามารดานี้ ไม่ใช่ฐานะ |
ไม่ใช่โอกาส ดังนี้เป็นต้น แม้ว่าพระอริยบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ จะ |
ไม่พึงฆ่า แม้มดดำมดแดงก็จริง แต่ถึงกระนั้น อภิฐาน ๖ เหล่านั้น พระผู้มี- |