| บทว่า ขีณพีชา ได้แก่ มีพืชตัดขาดแล้ว. |
| บทว่า อวิรูฬฺหิฉนฺทา คือ เว้นจากความพอใจที่เจริญขึ้น. |
| บทว่า นิพฺพนฺติ ได้แก่ ย่อมดับ. |
| บทว่า ธีรา ได้แก่ ผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา. |
| สองบทว่า ยถายมฺปทีโป ได้แก่ เปรียบเหมือนประทีปนี้. |
| มีคำถามว่า ท่านอธิบายไว้อย่างไร ? ตอบว่า ท่านอธิบายไว้ว่า |
| กรรมใดซึ่งเป็นกรรมเก่า ได้แก่เป็นกรรมในอดีต แม้ซึ่งเกิดแก่สัตว์ทั้งหลาย |
| แล้วดับไป ชื่อว่าผลไม่สิ้นแล้วนั่นเอง เพราะสามารถจะนำปฏิสนธิมา เหตุที่ |
| ยังละยางเหนียวคือตัณหาไม่ได้ กรรมเก่านั้นของสัตว์เหล่าใด ชื่อว่า สิ้นแล้ว |
| เพราะไม่สามารถจะให้วิบากต่อไปได้ เนื่องจากยางเหนียวคือตัณหาได้เหือด |
| แห้งไป ด้วยอรหัตมรรคญาณ เปรียบประดุจพืชที่ไฟไหม้แล้วฉะนั้น และกรรม |
| อันใดของสัตว์เหล่านั้น ซึ่งเป็นไปอยู่ในปัจจุบัน ด้วยสามารถแห่งการบูชา |
| พระพุทธเจ้าเป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า กรรมใหม่ ก็กรรมใหม่ |
| นั้นของชนเหล่าใด ชื่อว่าไม่มีสมภพ เพราะไม่สามารถจะให้ผลต่อไปได้ เพราะ |
| ประหาณตัณหาแล้วนั่นแหละ เปรียบประดุจดอกไม้ที่หลุดจากขั้วแล้วฉะนั้น |
| และชนทั้งหลายเหล่าใด ชื่อว่า คลายกำหนัดในภพต่อไปได้แล้ว เพราะละ |
| เสียได้ซึ่งตัณหานั้นเอง ชนทั้งหลายเหล่านั้น ชื่อว่าเป็นภิกษุขีณาสพ ชื่อว่า มี |
| พืชสิ้นแล้ว เพราะสิ้นปฏิสนธิวิญญาณซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในคาถานี้ว่า |
| กมฺมํ เขตฺตํ วิญฺาณํ พีชํ กรรม เป็นเนื้อนา วิญญาณ เป็นพืช๑ ดังนี้ |
|