| เป็นต้น เพราะความสิ้นกรรมนั้นเอง. แม้ความพอใจด้วยอำนาจตัณหา กล่าว |
| คือตัณหาในภพใหม่ซึ่งเจริญขึ้นแม้อันใด ได้มีแล้วในกาลก่อน เพราะตัณหา |
| ที่เจริญขึ้นแม้นั้นอันตนละเสียได้ ด้วยการละสมุทัยนั่นเอง พระอริยบุคคลเหล่า |
| นั้น จึงชื่อว่า เป็นผู้มีความพอใจอันไม่เจริญขึ้น เพราะไม่มีสมภพ (ความเกิด) |
| ในเวลาจุติ เหมือนในกาลก่อน จึงชื่อว่าเป็นนักปราชญ์ เพราะถึงพร้อมด้วย |
| ปัญญา ย่อมดับเสียได้ เพราะความดับแห่งวิญญาณดวงสุดท้าย เหมือนดวง |
| ประทีปนี้ที่ดับไปฉะนั้น ได้แก่ ย่อมล่วงบทบัญญัติมีอาทิอย่างนี้ว่า เป็นรูปหรือ |
| เป็นอรูปอีก. |
| เล่ากันมาว่า ในสมัยนั้นในบรรดาดวงประทีปทั้งหลายที่เขาจุดไว้ เพื่อ |
| บูชาเทวดาประจำพระนคร ดวงประทีปดวงหนึ่งดับไป พระผู้มีพระภาคเจ้า |
| เมื่อทรงแสดงถึงดวงประทีปที่ดับไปนั้นจึงตรัสว่า ยถายมฺปทีโป เหมือนดวง |
| ประทีปนี้ทีดับไป. |
| พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสถึงคุณแห่งการบรรลุ อนุปาทิเสส- |
| นิพพาน ของพระอริยบุคคลทั้งหลาย ผู้ได้สดับพระปริยัติธรรมที่พระผู้มี |
| พระภาคเจ้าตรัสไว้ด้วยพระคาถา ๒ คาถาแรกนั้น แล้วปฏิบัติตามกระแสเเห่ง |
| ธรรมที่ตนได้ฟังมาแล้วนั้นแล ได้บรรลุโลกุตตรธรรมทั้ง ๙ ประการ อย่างนี้ |
| แล้ว บัดนี้ทรงอาศัยคุณข้อนั้นนั่นเอง เพื่อจะทรงประกอบสัจวาจา เป็นสังฆา- |
| ธิษฐาน จึงตรัสเทสนาว่า อิทมฺปิ สงฺเฆ รตนํ ปณีตํ เอเตน สจฺเจน |
| สุวตฺถิ โหตุ. |
| เนื้อความแห่งพระคาถานั้น พึงทราบโดยนัยอันข้าพเจ้า กล่าวแล้ว |
| ในตอนต้น แต่ก็พึงทราบวาจาประกอบความอย่างนี้อย่างเดียวว่า สังฆรัตนะ |