๖๙    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๗๑
เป็นต้น  เพราะความสิ้นกรรมนั้นเอง.   แม้ความพอใจด้วยอำนาจตัณหา  กล่าว
คือตัณหาในภพใหม่ซึ่งเจริญขึ้นแม้อันใด  ได้มีแล้วในกาลก่อน   เพราะตัณหา
ที่เจริญขึ้นแม้นั้นอันตนละเสียได้  ด้วยการละสมุทัยนั่นเอง  พระอริยบุคคลเหล่า
นั้น  จึงชื่อว่า  เป็นผู้มีความพอใจอันไม่เจริญขึ้น   เพราะไม่มีสมภพ  (ความเกิด)
ในเวลาจุติ  เหมือนในกาลก่อน  จึงชื่อว่าเป็นนักปราชญ์    เพราะถึงพร้อมด้วย
ปัญญา  ย่อมดับเสียได้  เพราะความดับแห่งวิญญาณดวงสุดท้าย    เหมือนดวง
ประทีปนี้ที่ดับไปฉะนั้น  ได้แก่   ย่อมล่วงบทบัญญัติมีอาทิอย่างนี้ว่า เป็นรูปหรือ
เป็นอรูปอีก.
         เล่ากันมาว่า  ในสมัยนั้นในบรรดาดวงประทีปทั้งหลายที่เขาจุดไว้  เพื่อ
บูชาเทวดาประจำพระนคร   ดวงประทีปดวงหนึ่งดับไป    พระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อทรงแสดงถึงดวงประทีปที่ดับไปนั้นจึงตรัสว่า   ยถายมฺปทีโป เหมือนดวง
ประทีปนี้ทีดับไป.
         พระผู้มีพระภาคเจ้า    ครั้นตรัสถึงคุณแห่งการบรรลุ   อนุปาทิเสส-
นิพพาน    ของพระอริยบุคคลทั้งหลาย    ผู้ได้สดับพระปริยัติธรรมที่พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสไว้ด้วยพระคาถา  ๒  คาถาแรกนั้น  แล้วปฏิบัติตามกระแสเเห่ง
ธรรมที่ตนได้ฟังมาแล้วนั้นแล  ได้บรรลุโลกุตตรธรรมทั้ง  ๙  ประการ  อย่างนี้
แล้ว   บัดนี้ทรงอาศัยคุณข้อนั้นนั่นเอง  เพื่อจะทรงประกอบสัจวาจา  เป็นสังฆา-
ธิษฐาน    จึงตรัสเทสนาว่า  อิทมฺปิ  สงฺเฆ   รตนํ  ปณีตํ  เอเตน  สจฺเจน
สุวตฺถิ   โหตุ.
         เนื้อความแห่งพระคาถานั้น       พึงทราบโดยนัยอันข้าพเจ้า     กล่าวแล้ว
ในตอนต้น    แต่ก็พึงทราบวาจาประกอบความอย่างนี้อย่างเดียวว่า   สังฆรัตนะ
หน้า ๗๐