๙๓    ๔๗.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖    ๙๕
อยู่ก็ไม่พูดคำเท็จ    อย่างที่พระองค์ปรารถนากามทั้งหลายอันมีรสอร่อยเป็นต้น
เสวยกลิ่นดิบอยู่นั้นแล    ก็ยังตรัสว่า    พราหมณ์    เราหาบริโภคกลิ่นดิบไม่
ชื่อว่าตรัสคำไม่จริง  (เหลาะแหละ)   ดังนี้.  พราหมณ์ครั้นติเตียนพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าด้วยการอ้างคำสรรเสริญฤๅษีทั้งหลายอย่างนี้แล้ว     บัดนี้    เมื่อจะแสดง
เรื่องการติเตียนตามที่ตนประสงค์   จะติเตียนพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยนิปปริยาย
จึงได้กล่าวว่า  ยทสมาโน  เป็นต้น.
           อักษรในคาถานั้นเป็นการเชื่อมบท    แต่เนื้อความมีดังต่อไปนี้ :-
เนื้อนกมูลไถหรือเนื้อนกกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง     ซึ่งกระทำดีแล้วด้วยการ
บริกรรมในเบื้องต้น  มีการล้างและการหั่นเป็นต้น  สำเร็จดีแล้วด้วยการบริกรรม
ในภายหลัง  มีการปรุงและการย่างเป็นต้น   อันชนเหล่าอื่นผู้ใคร่ธรรมซึ่งสำคัญ
อยู่ว่า  ท่านผู้นี้ไม่ใช่มารดา  ไม่ใช่บิดา  (ของเรา)   แต่อีกอย่างหนึ่งแล   ท่าน
ผู้นี้เป็นทักขิเณยยบุคคล  ดังนี้   ได้ถวายไป   ชื่อว่าตกแต่งดีแล้วในการการทำ
สักการะ.
         ชื่อว่า   ประณีต    คือตกแต่งเรียบร้อย    คือว่าประณีต   เพราะเป็น
โภชนะมีรสเลิศ  เพราะเป็นโภชนะมีโอชะ  เพราะเป็นโภชนะที่สามารถจะนำมา
ซึ่งกำลังและไขมัน   พระองค์เสวยอยู่   คือให้นำมาอยู่    คือว่าพระองค์เสวยเนื้อ
อย่างใดอย่างหนึ่งอย่างเดียวก็หามิได้  โดยที่แท้แล   พระองค์เสวยข้าวสาลีแม้นี้
ได้แก่    ข้าวสุกแห่งข้าวสาลีซึ่งได้เลือกกากออกแล้ว    ดาบสเรียกพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าด้วยอ้างพระโคตรว่า      ข้าแต่ท่านกัสสปะ    พระองค์นั้นเสวยกลิ่นดิบ.
พระองค์เสวยอยู่ซึ่งเนื้อชนิดใดชนิดหนึ่ง  และเสวยอยู่ซึ่งข้าวสาลีนี้   ข้าแต่ท่าน
กัสสปะ  พระองค์ชื่อว่าเสวยกลิ่นดิบ  ดังนี้.
หน้า ๙๔