๓๒๑    ๕๙.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕    ๓๒๓
ทางสีหปัญชรที่เปิดไว้    ตรัสถ้อยคำที่ประกอบด้วยธรรมแก่เหล่าอำมาตย์
ขณะนั้นพระราหูได้บดบังดวงจันทร์เต็มดวง   เหมือนกระโดดโลดเต้นไป
ในท้องฟ้า.   แสงจันทร์อันตรธานหายไป.         อำมาตย์ทั้งหลายไม่เห็น
แสงพระจันทร์            จึงทูลพระราชาถึงภาวะที่ดวงจันทร์ถูกราหูยึดไว้
พระราชาทรงทอดพระเนตรพระจันทร์   ทรงพระดำริว่า   พระจันทร์นี้
เศร้าหมองอับแสงไปเพราะสิ่งเศร้าหมองที่จรมา.     แม้ข้าราชบริพารนี้ก็
เป็นเครื่องเศร้าหมองสำหรับเราเหมือนกัน แต่การที่เราจะเป็นผู้หมดสง่า
ราศรีเหมือนดวงจันทร์ที่ถูกราหูยึดไว้นั้น ไม่สมควรแก่เราเลย. เราจักละ
ราชสมบัติออกบวช   เหมือนดวงพระจันทร์สัญจรไปในท้องฟ้าที่บริสุทธิ์
ฉะนั้น.    จะมีประโยชน์อะไรด้วยผู้อื่นที่เราตักเตือนแล้ว      เราจักเป็น
เสมือนผู้ไม่ข้องอยู่ด้วยตระกูลและหมู่คณะ  ตักเตือนตัวเองเท่านั้นเที่ยวไป
นี้เป็นสิ่งที่เหมาะสำหรับเรา   แล้วทรงมอบราชสมบัติให้แก่เหล่าอำมาตย์
ด้วยพระดำรัสว่า        ท่านทั้งหลายจงพากันแต่งตั้งผู้ที่ท่านทั้งหลายต้อง
ประสงค์ให้เป็นพระราชาเถิด.    พระราชาในคันธารรัฐนั้นทรงสละราช-
สมบัติเสด็จออกทรงผนวชเป็นฤๅษี    ยังฌานและอภิญญาให้เกิดขึ้นแล้ว
ทรงเอิบอิ่มด้วยความยินดีในฌาน      สำเร็จการอยู่ในท้องถิ่นดินแดนหิม-
พานต์.    ฝ่ายพระเจ้าวิเทหะตรัสถามพวกพ่อค้าทั้งหลายว่า    พระราชา
พระสหายของเราสบายดีหรือ ?        ทรงทราบว่าพระองค์เสด็จออกทรง
ผนวชแล้วทรงดำริว่า  เมื่อสหายของเราทรงผนวชแล้ว  เราจักทำอย่างไร
กับราชสมบัติ   แล้วจึงทรงสละราชสมบัติในมิถิลนครกว้างยาว  ๗ โยชน์
หน้า ๓๒๒