เมื่อพวกเขาทูลว่า ที่ฝั่งแม่น้ำในท้องถิ่นดินแดนแห่งหิมพานต์ จึงรับ |
สั่งให้คนจำนวนมากต่อเรือขนานแล้วได้เสด็จทวนกระแสน้ำขึ้นไป ตาม |
ทางที่พวกพรานไพรทูลชี้แนะ. แต่พวกพรานไม่ได้ทูลบอกกำหนดว่า สิ้น |
เวลาเท่านี้วัน. ถึงที่นั้นตามลำดับแล้ว พวกพรานไพรจึงทูลพระราชาว่า |
นี่คือต้นไม้ที่ประเสริฐ พระพุทธเจ้าข้า. พระราชารับสั่งให้จอดเรือไว้ |
ที่แม่น้ำแล้ว มีมหาชนห้อมล้อมเสด็จดำเนินไป ณ ที่นั้นด้วยพระบาท |
ทรงให้ปูบรรทมที่ควงไม้ เสวยผลมะม่วงสุก แล้วเสวยพระกระยาหาร |
มีรสเลิศนานาชนิดเสร็จแล้วก็บรรทม. ราชบุรุษทั้งหลายวางยามแล้ว |
ก่อกองไฟไว้ทุกทิศ. เมื่อมนุษย์ทั้งหลายหลับกันแล้ว พระมหาสัตว์จึง |
ได้ไปกับด้วยบริษัทในเวลาเที่ยงคืน. วานร ๘๐,๐๐๐ ตัวพากันไต่ไปกิน |
ผลมะม่วงสุกจากกิ่งหนึ่งไปยังกิ่งหนึ่ง. พระราชาทรงตื่นบรรทม ทรง |
เห็นฝูงกระบี่ จึงทรงปลุกให้คนทั้งหลายตื่นขึ้น แล้วรับสั่งให้เรียกพวก |
แม่นธนูมา แล้วตรัสว่า พรุ่งนี้สูเจ้าทั้งหลายจงพากันล้อมยิงพวกวานร |
เหล่านั้น ที่กินผลไม้โดยไม่ให้มันหนีไป. พรุ่งนี้ฉันจะกินผลมะม่วง |
และเนื้อวานร. พวกแม่นธนูทูลรับพระบรมราชโองการใส่เกล้า ฯ แล้ว |
พากันยินล้อมต้นไม้แล้วขึ้นลูกศรไว้. พวกวานรได้เห็นพวกเขากลัวภัย |
คือความตาย ไม่อาจหนีไปได้ จึงพากันเข้าไปหาพระมหาสัตว์ ยืนสั่น |
สะท้านอยู่พลางถามว่า ข้าแต่สมมุติเทพ พวกคนแม่นธนูยืนล้อมต้นไม้ |
ด้วยหมายใจว่า พวกเราจักยิงลิงตัวที่หนีไป พวกเราจักทำอย่างไรกัน ? |
พระโพธิสัตว์ปลอบใจฝูงวานรว่า สูเจ้าทั้งหลายอย่ากลัว ฉันจักให้ชีวิต |