ไปเก็บผลมะม่วงพวกหนึ่ง แล้วเสด็จเข้าไปพระราชอุทยาน ประทับนั่ง |
บนมงคลสิลาอาสน์ พระราชทานแก่คนที่ควรพระราชทาน แล้ว |
จึงเสวยผลมะม่วง. จำเดิมแต่เวลาที่พระราชาทรงเก็บผลมะม่วงแล้ว |
ตามธรรมดาคนที่เหลือทั้งหลาย ก็ต้องพากันเก็บเหมือนกัน ดังนั้น |
อำมาตย์บ้าง พราหมณ์และคหบดีบ้าง จึงพากันเขย่าผลมะม่วงให้หล่น |
แล้วรับประทานกัน. ผู้ที่มาหลัง ๆ ก็ขึ้นต้นใช้ไม้ค้อนฟาดทำให้กิ่งหัก |
ทะลายลงกินกัน แม้แต่ผลดิบ ๆ ก็ไม่เหลือ. ฝ่ายพระราชาทรงกรีฑา |
ในพระราชอุทยานตลอดทั้งวันแล้ว ตอนเย็นเมื่อทรงประทับนั่งบน |
คอช้างต้นที่ตกแต่งแล้ว เสด็จไปทอดพระเนตรเห็นต้นมะม่วงนั้นจึง |
เสด็จลงจากคอช้างแล้วเสด็จไปที่โคนต้นมะม่วง ทรงมองดูลำต้นพลาง |
ทรงดำริว่า ต้นมะม่วงต้นนั้นเมื่อเช้านี้เอง เต็มไปด้วยผลเป็นพวงสง่างาม |
ทำความอิ่มตาให้แก่ผู้ดูทั้งหลายยืนต้นอยู่ บัดนี้ เขาเก็บผลหมดแล้ว |
หักห้อยรุ่งริ่งยืนต้นอยู่ไม่งาม เมื่อทรงมองดูต้นอื่นอีกได้ทรงเห็นต้น |
มะม่วงต้นอื่นที่ไม่มีผลแล้ว ประทับยืนที่ควงไม้นั่นเอง ทรงทำต้นมะม่วง |
มีผลให้เป็นอารมณ์ว่า ต้นไม้ต้นนั้นยืนต้นสง่างามเหมือนภูเขาแก้วมณี- |
โล้น เพราะตัวเองไม่มีผล ส่วนมะม่วงต้นนี้ถึงความย่อยยับอย่างนี้เพราะ |
ออกผล แม้ท่ามกลางเรือนนี้ ก็เช่นกันกับต้นมะม่วงที่ออกผล ส่วนการ |
บรรพชาเป็นเช่นกับต้นไม้ที่ไม่มีผล ผู้มีทรัพย์นั้นแหละมีภัย ส่วนผู้ไม่ |
มีทรัพย์ไม่มีภัย แม้เราก็ควรเป็นเหมือนต้นไม้ที่ไม่มีผลดังนี้แล้ว ทรง |
กำหนดการลักษณ์เจริญวิปัสสนายังปัจเจกโพธิญาณให้เกิดขึ้นแล้ว ทรง |