๓๔๗    ๕๙.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕    ๓๔๙
ไปเก็บผลมะม่วงพวกหนึ่ง   แล้วเสด็จเข้าไปพระราชอุทยาน   ประทับนั่ง
บนมงคลสิลาอาสน์      พระราชทานแก่คนที่ควรพระราชทาน      แล้ว
จึงเสวยผลมะม่วง.         จำเดิมแต่เวลาที่พระราชาทรงเก็บผลมะม่วงแล้ว
ตามธรรมดาคนที่เหลือทั้งหลาย    ก็ต้องพากันเก็บเหมือนกัน     ดังนั้น
อำมาตย์บ้าง   พราหมณ์และคหบดีบ้าง   จึงพากันเขย่าผลมะม่วงให้หล่น
แล้วรับประทานกัน.     ผู้ที่มาหลัง ๆ ก็ขึ้นต้นใช้ไม้ค้อนฟาดทำให้กิ่งหัก
ทะลายลงกินกัน    แม้แต่ผลดิบ ๆ ก็ไม่เหลือ.    ฝ่ายพระราชาทรงกรีฑา
ในพระราชอุทยานตลอดทั้งวันแล้ว        ตอนเย็นเมื่อทรงประทับนั่งบน
คอช้างต้นที่ตกแต่งแล้ว        เสด็จไปทอดพระเนตรเห็นต้นมะม่วงนั้นจึง
เสด็จลงจากคอช้างแล้วเสด็จไปที่โคนต้นมะม่วง     ทรงมองดูลำต้นพลาง
ทรงดำริว่า  ต้นมะม่วงต้นนั้นเมื่อเช้านี้เอง เต็มไปด้วยผลเป็นพวงสง่างาม
ทำความอิ่มตาให้แก่ผู้ดูทั้งหลายยืนต้นอยู่      บัดนี้    เขาเก็บผลหมดแล้ว
หักห้อยรุ่งริ่งยืนต้นอยู่ไม่งาม       เมื่อทรงมองดูต้นอื่นอีกได้ทรงเห็นต้น
มะม่วงต้นอื่นที่ไม่มีผลแล้ว ประทับยืนที่ควงไม้นั่นเอง ทรงทำต้นมะม่วง
มีผลให้เป็นอารมณ์ว่า  ต้นไม้ต้นนั้นยืนต้นสง่างามเหมือนภูเขาแก้วมณี-
โล้น เพราะตัวเองไม่มีผล  ส่วนมะม่วงต้นนี้ถึงความย่อยยับอย่างนี้เพราะ
ออกผล   แม้ท่ามกลางเรือนนี้ ก็เช่นกันกับต้นมะม่วงที่ออกผล   ส่วนการ
บรรพชาเป็นเช่นกับต้นไม้ที่ไม่มีผล  ผู้มีทรัพย์นั้นแหละมีภัย  ส่วนผู้ไม่
มีทรัพย์ไม่มีภัย   แม้เราก็ควรเป็นเหมือนต้นไม้ที่ไม่มีผลดังนี้แล้ว  ทรง
กำหนดการลักษณ์เจริญวิปัสสนายังปัจเจกโพธิญาณให้เกิดขึ้นแล้ว  ทรง
หน้า ๓๔๘