๓๔๙    ๕๙.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕    ๓๕๑
ได้ปกปิดพระกายของพระองค์ทันที.   พระองค์ประทับที่อากาศประทาน
พระโอวาทแก่มหาชนแล้ว  ได้เสด็จไปสู่เงื้อมนันทมูลนั่นแหละ.
         ฝ่ายพระราชาทรงพระนามว่านัคคชิ      ในนครตักกศิลา      ที่
แคว้นคันธาระ    เสด็จไปที่ท่ามกลางพระราชบัลลังก์  เบื้องบนปราสาท
ทอดพระเนตรเห็นหญิงคนหนึ่ง     ในมือแต่ละข้างประดับกำไลแก้วมณี
คือหยก  ข้างละอันนั่งบดของหอมอยู่ไม่ไกล   ประทับนั่งทอดพระเนตร
พลางดำริว่า   กำไลแก้วมณี คือหยกเหล่านั้นไม่กระทบกัน  ไม่มีเสียงดัง
เพราะเป็นข้างละอัน     คือแยกกันอยู่.     ภายหลังนางเอากำไลแขนจาก
ข้างขวามาสวมไว้ที่ข้างซ้ายรวมกัน แล้วเริ่มเอามือขวาดึงของหอมมาบด.
กำไลแก้วมณีคือหยกที่มือซ้ายมากระทบกำไลข้างที่  ๒   จึงมีเสียงดังขึ้น.
พระราชาทอดพระเนตรเห็นกำไลแขนทั้ง  ๒    ข้างเหล่านั้นกระทบกัน
อยู่มีเสียงดัง  จึงทรงดำริว่า   กำไลแขนนี้เวลาอยู่ข้างละอันไม่กระทบกัน
แต่อาศัยข้างที่   ๒   กระทบกันก็มีเสียงดังฉันใด    แม้สัตว์ทั้งหลายเหล่า
นี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน   แต่ละคน ๆ ไม่กระทบกัน  ก็ไม่ส่งเสียง   แต่พอ
มี   ๒,  ๓   คนขึ้นไปก็กระทบกันทำการทะเลาะกัน.    ส่วนเราวิจารณ์
ราษฎรในราชสมบัติ    ๒  แห่ง   ในกัสมิระและคันธาระ   เราควรจะเป็น
เหมือนกำไลแขนข้างเดียว     ไม่วิจารณ์คนอื่น     วิจารณ์ตัวเองเท่านั้น
อยู่    ดังนี้แล้ว       ทรงทำการกระทบกันแห่งกำไลให้เป็นอารมณ์แล้ว
ทั้ง ๆ ที่ทรงนั่งอยู่นั่นแหละ    ทรงกำหนดไตรลักษณ์    เจริญวิปัสสนา
หน้า ๓๕๐