๓๘๘    ๕๙.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕    ๓๙๐
มงฺคํ  เป็นไวพจน์ของคำว่า  สีสํ   นั่นเอง.    บทว่า    อตฺถํ    ความว่า
หม่อมฉันทูลคำเท็จด้วยหวังว่า จักทำความเจริญแก่ตนเอง.  บทว่าเอกา-
ปราธํ   ความว่า  โทษผิดอย่างหนึ่งของข้าพระองค์นี้.  บทว่า  ป€มุคฺคโต
ความว่า  เจริญขึ้นโดยปฐมวัย.    บทว่า   โหหิ   ได้แก่   โหสิ   เป็นผู้
อธิบายว่า   ดำรงอยู่แล้วในปฐมวัย.   ปาฐะว่า   โหสิ    เยว   ก็ดี.   บทว่า
ยถา  กลีโร  ความว่า  พระราชินีทรงชี้แจงว่า   ตองกล้วยอ่อนมีผิวนวล
ต้องลมอ่อนพัดโชยย่อมพริ้วงามฉันใด   พระองค์ก็มีพระรูปโฉมฉันนั้น.
ปาฐะว่า   ป€มุคฺคโต   โหสิ    ดังนี้ก็มี.  ปาฐะนั้นก็มีเนื้อความว่า    หน่อ
ของไม้อ่อนแรกขึ้น  น่าทัศนาฉันใด  พระองค์ก็น่าทัศนาฉันนั้น.  บทว่า
มมญฺจ   ปสฺส   ความว่า     ขอพระองค์จงทรงดูแลหม่อมฉันด้วยเถิด.
อธิบายว่า        โปรดอย่าทรงกระทำให้หม่อมฉันเป็นหม้ายไม่มีที่พึ่งเลย.
บทว่า   กาลิกํ   ความว่า   พระนางทูลว่า    ธรรมดาการประพฤติพรหม-
จรรย์  ที่ชื่อว่าให้ผลตามกาลเวลา   เพราะจะให้ผลในอัตภาพที่ ๒   ที่  ๓
ส่วนราชสมบัติ   ชื่อว่า  ให้ผลไม่เลือกกาลเวลา   เพราะอำนวยความสุข
คือกามคุณในอัตภาพนี้ทีเดียว  พระองค์นั้นอย่าทรงละราชสมบัติที่ให้ผล
ไม่เลือกกาลเวลา  แล้วทรงโลดแล่นไปตามการประพฤติพรหมจรรย์ที่ให้
ผลตามกาลเวลาเลย.
         พระโพธิสัตว์ ครั้นทรงสดับคำนั้น แล้วตรัสว่า ดูก่อนนางผู้เจริญ
เธอพูดถ้อยคำนั้นที่ควรเป็นไปได้   เพราะว่า    เมื่อวัยของเราที่มีความ
เปลี่ยนแปลงเป็นที่สุด  ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว  ผมสีดำทั้งหลายเหล่านี้
หน้า ๓๘๙