๔๖๐    ๖๘.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ ๖๘.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑    ๔๖๑
ว่ารู้ชัด     เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า   ปัญญาเครื่องทรงจำธรรมที่ได้
สดับมาแล้ว   คือ   เครื่องรู้ชัดธรรมที่ได้สดับมาแล้วนั้นว่า   นี้ทุกข์    นี้
ทุกขสมุทัย  นี้ทุกขนิโรธ  นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา  ชื่อว่าสุตมยญาณ
ปัญญาในการทรงจำธรรมที่ได้สดับมาแล้ว   ชื่อว่าสุตมยญาณอย่างนี้.
อรรถกถามรรคสัจนิทเทส
             ๘๕]พึงวินิจฉัยใน   มรรคสัจนิทเทส   ดังต่อไปนี้   บทว่า
อยเมว   คือ   กำหนดธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อมรรคอื่น.    บทว่า  อริโย
ชื่อว่า   อริยะ    เพราะใกล้จากกิเลสอันมาด้วยมรรคนั้น ๆ.     เพราะทำ
ความเป็นพระอริยะ   และเพราะทำการได้อริยผล.   ชื่อว่า   อัฏฐังคิกะ
เพราะอรรถว่ามรรคนั้นมีองค์ ๘.      มรรคนั้นดุจะเสนามีองค์ ๔,    องค์
มรรคดุจดนตรีมีองค์ ๕.   พ้นจากองค์แล้วมีไม่ได้.
             บัดนี้   พระสารีบุตรเมื่อแสดงว่ามรรคเป็นเพียงองค์เท่านั้น  พ้น
จากองค์แล้วมีไม่ได้    จึงกล่าวคำมีอาทิว่า   สมฺมาทิฏฺ€ิ   ฯเปฯ  สมฺมา-
สมาธิ.
             ในบทเหล่านั้น     สัมมาทิฏฐิ     มีการเห็นชอบเป็นลักษณะ.
สัมมาสังกัปปะ  มีการยกขึ้นเป็นลักษณะ.   สัมมาวาจา  มีการกำหนด
เป็นลักษณะ.  สัมมากัมมันตะ   มีการให้ตั้งขึ้นเป็นลักษณะ.  สัมมา-
อาชีวะ   มีการให้ผ่องแผ้วเป็นลักษณะ.   สัมมาวายามะ   มีการประคอง
ไว้เป็นลักษณะ.  สัมมาสติ   มีการเข้าไปตั้งมั่นเป็นลักษณะ.   สัมมา-
สมาธิ   มีการตั้งไว้เสมอเป็นลักษณะ.
           ในมรรคเหล่านั้น   มรรคหนึ่ง ๆ    ย่อมมีกิจอย่างละ  ๓.      คือ
สัมมาทิฏฐิ   ย่อมละมิจฉาทิฏฐิกับกิเลสที่เป็นข้าศึกของตน       แม้เหล่าอื่น
ก่อน,     ทำนิโรธให้เป็นอารมณ์,   และเห็นสัมปยุตธรรม    เพราะไม่หลง
ด้วยสามารถกำจัดโมหะอันปกปิดสัมปยุตธรรมทั้งหลายได้.  แม้สัมมาสัง-
กัปปะเป็นต้น   ก็ละมิจฉาสังกัปปะเป็นต้น  ได้เช่นเดียวกัน,      เละทำ
นิพพานให้เป็นอารมณ์. แต่โดยแปลกกันในบทนี้  สัมมาสังกัปปะ    ยก
ขึ้นสู่สหชาตธรรมโดยชอบ   สัมมาวาจา  กำหนดเอาโดยชอบ.  สัมมา-
กัมมันตะ   ให้ตั้งขึ้นโดยชอบ,   สัมมาอาชีวะ   ให้ผ่องแผ้วโดยชอบ,
สัมมาวายามะ    ประคองไว้โดยชอบ,   สัมมาสติ   ให้เข้าไปตั้งไว้โดย
ชอบ   สัมมาสมาธิ   ตั้งมั่นไว้โดยชอบ.
           อีกอย่างหนึ่ง   สัมมาทิฏฐินี้ในส่วนเบื้องต้น    มีขณะต่างกัน   มี
อารมณ์ต่างกัน,    ในกาลแห่งมรรคมีขณะอย่างเดียวกัน,  มีอารมณ์อย่าง
เดียวกัน.  แต่โดยกิจย่อมได้ชื่อ ๔  อย่าง  มีอาทิว่า  ทุกฺเข   าณํ  - ความ
รู้ในทุกข์.    แม้สัมมาสังกัปปะเป็นต้น  ในส่วนเบื้องต้นก็มีขณะต่างกัน
มีอารมณ์ต่างกัน,     ในกาลแห่งมรรคมีขณะอย่างเดียวกัน     มีอารมณ์
อย่างเดียวกัน.     ในมรรคเหล่านั้น    สัมมาสังกัปปะโดยกิจย่อมได้ชื่อ  ๓.