| |
ในอนาคตเป็นต้น ก็มีนัยนี้. อนึ่ง กามาวจรขันธ์นั่นแลเป็นที่ตั้งของ |
กิเลสที่ยังละไม่ได้และนอนเนื่องอยู่ในกามาวจรขันธ์, ขันธ์นอกนี้ไม่ |
เป็นที่ตั้ง. ในรูปาวจรขันธ์และอรูปาวจรขันธ์ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. อนึ่ง |
ในโสดาบันเป็นต้น กิเลสใดอันเป็นมูลของวัฏฏะนั้น ๆ ในขันธ์ |
พระอริยบุคคลใด ๆ ละได้ด้วยมรรคนั้น ๆ, ขันธ์เหล่านั้นของพระ- |
อริยบุคคลนั้น ๆ ไม่นับว่าเป็น ภูมิ เพราะไม่เป็นที่ตั้งแห่งกิเลสอันเป็น |
มูลของวัฏฏะเหล่านั้นซึ่งละได้แล้ว. กุศลกรร หรืออกุศลกรรมอย่างใด |
อย่างหนึ่งที่บุคคลทำ ย่อมมีแก่ปุถุชนโดยประการทั้งปวง เพราะยังละ |
กิเลสอันเป็นมูลแห่งวัฏฏะยังไม่ได้, วัฏฏะอันเป็นปัจจัยของกรรมกิเลส |
ย่อมควรแก่ผู้นั้นด้วยประการฉะนี้, ธรรมนั้นของบุคคลนั้น ๆ เป็นมูล |
ของวัฏฏะในรูปขันธ์นั่นเอง, ไม่ใช่ในเวทนาขันธ์เป็นต้น. หรือใน |
วิญญาณขันธ์เท่านั้น. ไม่ควรกล่าวว่า ไม่ใช่ในรูปขันธ์เป็นต้น. |
เพราะเหตุไร ? เพราะกิเลสนอนเนื่องอยู่ในขันธ์แม้ทั้ง ๕ โดยไม่ |
แปลกกัน. อย่างไร ? เหมือนรสดิน (ปวีรสํ) เป็นต้น อยู่ในต้นไม้. |
เหมือนอย่างว่า เมื่อต้นไม้ใหญ่ตั้งอยู่บนพื้นดิน อาศัยรสดินและรสน้ำ |
(อาโปรสํ) งอกงามด้วยราก ลำต้น กิ่งน้อยใหญ่ ใบอ่อน ใบแก่ ดอก |
และผล เพราะรสดิน รสน้ำนั้น เต็มฟ้า จนสิ้นกัป สืบเชื้อสายของต้น |
ไม้ด้วยการผลิตพืชต่อ ๆ กันมาดำรงอยู่, พืชไม้นั้นตั้งอยู่ที่รากมีรากดิน |