คือ ปัญญานั่นเอง โดยกิจแยกออกเป็นสองอย่าง. เหมือนอย่างว่า |
บุรุษเมื่อจะจับงูที่เลื้อยเข้าไปยังเรือน ในเวลาเย็นแสวงหาไม้ตีนแพะ |
เห็นงูนั้นนอนอยู่ที่ห้องเล็ก จึงมองดูว่า งูหรือไม่ใช่งู, ครั้นเห็นเครื่อง |
หมาย ๓ แฉกก็หมดสงสัย ความเป็นกลางในสืบเสาะดูว่างู, ไม่ใช่งู, |
ย่อมเกิดขึ้นฉันใด, เมื่อภิกษุเจริญวิปัสสนาเห็นไตรลักษณ์ด้วยวิปัสสนา- |
ญาณ ความเป็นกลางในการค้นหาไตรลักษณ์มีความไม่เที่ยงเป็นต้น |
ของสังขารย่อมเกิดขึ้น ฉันนั้น นี้ คือ วิปัสสนุเบกขา. อนึ่ง เมื่อ |
บุรุษนั้นเอาไม้ตีนแพะจับงูจนมั่น คิดว่า ทำอย่างไร๑ เราจะไม่ทำร้ายงูนี้ |
และจะไม่ให้งูนี้กัดตนพึงปล่อยไป แล้วหาวิธีที่จะปล่อยงูไป ในขณะจับ |
นั้น ย่อมมีความเป็นกลางฉันใด, ความเป็นกลางในการยึดถือสังขาร |
ของภิกษุผู้เห็นภพ ๓ ดุจเห็นไฟติดทั่วแล้ว เพราะเห็นไตรลักษณ์ก็ |
ฉันนั้น นี้ คือ สังขารุเบกขา. เมื่อวิปัสสนุเบกขาสำเร็จแล้ว แม้ |
สังขารุเบกขาก็เป็นอันสำเร็จแล้วด้วยประการฉะนี้. |
อนึ่ง ด้วยบทนี้อุเบกขานี้แบ่งเป็นสองส่วน โดยกิจกล่าวคือ |
ความเป็นกลางในการพิจารณาและการจับ. ส่วนวิริยุเบกขาและเวทนุ- |
เบกขา โดยอรรถยังต่างกันอยู่ คือ เป็นของต่างซึ่งกันและกัน และ |
ยังต่างจากอุเบกขาที่เหลือ. |
|