นั้น ย่อมเกิดแก่ภิกษุนั้นผู้ได้ฌานนั้น. เธอย่อมกำหนดฌานเป็นบาท |
เท่านั้น ด้วยประการฉะนี้. |
| |
ส่วนพระเถระบางรูปกล่าวว่า ขันธ์อันเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา |
ย่อมกำหนด. บางรูปกล่าวว่า อัธยาศัยของบุคคล ย่อมกำหนด บาง |
รูปกล่าวว่า วิปัสสนาอันเป็นวุฏฐานคามินี ย่อมกำหนด. |
| |
ในบทนั้นมีกถาตามลำดับอย่างนี้ มรรคที่เกิดขึ้นแก่พระสุกข- |
วิปัสสกโดยกำหนดวิปัสสนาบ้าง, มรรคที่ไม่ทำฌานให้เป็นบาทเกิดขึ้น |
แก่ผู้ได้สมาบัติบ้าง, มรรคที่ภิกษุทำปฐมฌานให้เป็นบาทแล้วพิจารณา |
สังขารเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เกิดขึ้นบ้าง, ย่อมมีอยู่ในปฐมฌานทั้งนั้น ใน |
มรรคทั้งหมด ได้แก่ โพชฌงค์ ๗ องค์มรรค ๘ องค์ฌาน ๕. |
วิปัสสนาอันเป็นส่วนเนื่องต้นของมรรคเหล่านั้น สหรคตด้วยโสมนัส |
บ้าง สหรคตด้วยอุเบกขาบ้าง ถึงความเป็นสังขารุเบกขาในเวลาออก |
เป็นอันสหรคตด้วยโสมนัสทั้งนั้น. |
| |
พึงทราบวินิจฉัยในปัญจกนัยดังต่อไปนี้ ฌานมีองค์ ๔ มีองค์ ๓ |
และมีองค์ ๒ ย่อมมีตามลำดับในมรรคที่ภิกษุทำทุติยฌานตติยฌานและ |
จตุตถฌานให้เป็นบาทแล้วให้เกิดขึ้น. ในฌานทั้งหมดองค์มรรคมี ๗ |
ในฌานที่ ๔ โพชฌงค์มี ๖. ความวิเศษนี้ย่อมมิได้ด้วยการกำหนด |
ฌานเป็นบาท และด้วยการกำหนดวิปัสสนา. |