๕๕๐    ๖๘.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ ๖๘.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑    ๕๕๑
            โดยตรงกันข้ามกับที่กล่าวแล้ว  ความบริสุทธิ์ไม่มีส่วนสุด  ชื่อว่า
อปริยันตะ,   ชื่อว่า   อปริยันตะ   เพราะส่วนสุดของความบริสุทธิ์นั้น
ไม่มีบ้าง,   ส่วนสุดของความบริสุทธิ์นั้นเจริญแล้วบ้าง.
           ชื่อว่า ปริปุณฺณา - เต็มรอบ  ด้วยอรรถว่าไม่หย่อนเป็นปทัฏฐาน
แห่งอริยมรรค เพราะไม่ขาดจำเดิมแต่สมาทาน  เพราะแม้ขาดก็ทำคืนได้
และเพราะเว้นจากมลทินแม้เพียงจิตตุปบาท.     และเพราะบริสุทธิ์ดุจแก้ว
มณีอันบริสุทธิ์    และดุจทองคำที่ขัดเป็นอย่างดี   ฉะนั้น.
           ชื่อว่า   อปรามัฏฐะ  เพราะไว้ด้วยทิฏฐิ   เพราะทิฏฐิไม่จับต้อง,
อีกอย่างหนึ่งชื่อว่า     อปรามัฏฐะ    เพราะโจทก์ไม่สามารถจะกล่าวหา
ได้ว่า   นี้เป็นโทษในเพราะศีลของท่าน    ชื่อว่า  ปฏิปปัสสัทธิ   เพราะ
สงบความกระวนกระวายทั้งปวง    ในขณะอรหัตผล.
         บทว่า  อนุปฺปสมฺปนฺนานํ.  ชื่อว่า   อุปสัมปันนา   เพราะถึง
พร้อมแล้วเป็นอันมากด้วยศีลสัมปทา        โดยที่สมาทานไม่มีส่วนเหลือ.
ไม่ใช่อุปสัมบัน  จึงชื่อว่า  อนุปสัมบัน.  ของอนุปสัมบันเหล่านั้น.  ใน
บทว่า  ปริยนฺตสิกฺขาปทานํ - ผู้มีสิกขาบทมีที่สุดนี้   มีอธิบายดังต่อไปนี้
ชื่อว่า   สิกฺขา   ด้วยอรรถว่าควรศึกษา.    ชื่อว่า   ปทานิ   ด้วยอรรถว่า
ส่วน,   อธิบายว่า   ส่วนที่ควรศึกษา.   อีกอย่างหนึ่ง  กุศลธรรมทั้งหมด
ชื่อว่า  สิกฺขา  เพราะควรปฏิบัติให้ยิ่งด้วยการตั้งอยู่ในศีล,    ศีลทั้งหลาย
ชื่อว่า  ปทานิ  ด้วยอรรถว่าเป็นที่ตั้งแห่งสิกขาเหล่านั้น   เพราะเหตุนั้น
จึงชื่อว่า  สิกขาบท  เพราะเป็นส่วนแห่งสิกขาทั้งหลาย,  ชื่อว่า
ปริยันตสิกขาบท  เพราะสิกขาบทมีที่สุด. แห่งอนุปสัมบันผู้มีสิกขาบท
มีที่สุดเหล่านั้น.
             อนึ่ง   ในบทนี้   ที่สุดมี  ๒ อย่า   คือ  สิกขาบทมีที่สุด  ๑  กาล
มีที่สุด ๑.
             สิกขาบทมีที่สุดเป็นอย่างไร ?      อุบาสกอุบาสิกามีสิกขาบท ๑,
๒,  ๓,  ๔, ๕, ๘,  หรือ ๑๐   ตามที่สมาทาน,     สิกขมานา    สามเณร
สามเณรี  มีสิกขาบท  ๑๐   นี้ชื่อว่า  สิกฺขาปทปริยนฺโต - มีสิกขาบท
             กาลมีที่สุดเป็นอย่างไร ?   อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายให้ทาน   ย่อม
สมาทานศีลมีการจัดอาหารเลี้ยงดูกันเป็นที่สุด,     ไปวิหารแล้ว     ย่อม
สมาทานศีล    มีวิหารเป็นที่สุด,    กำหนดคืนวัน ๑    หรือ ๒    หรือ ๓
หรือยิ่งกว่านั้นแล้วสมาทานศีล    นี้   ชื่อว่า   มีกาลเป็นที่สุด.
             ในที่สุด  ๒  อย่างนี้       ศีลที่สมาทานแล้วทำสิกขาบทให้มีที่สุด
ด้วยการก้าวล่วงกาลหรือด้วยความตายย่อมสงบ,     ศีลที่สมาทานแล้วทำ
กาลมีที่สุด  ด้วยการก้าวล่วงกาลนั้นย่อมสงบ.
             บทว่า  อปริยนฺตสิกฺขาปทานํ - สิกขาบทไม่มีที่สุด  ท่านกล่าวว่า
                         นว  โกฏิสหสฺสานิ          อสีติ  สตโกฏิโย
                         ปญฺญาส สตสหสฺสานิ     ฉตฺตึส  จ  ปุนาปเร,