๕๘๐    ๖๘.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ ๖๘.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑    ๕๘๑
          อีกอย่างหนึ่ง  พึงทราบว่า  พระสัมมาสัมพุทธะตรัสรู้ธรรมทั้งปวง
โดยชอบ   และด้วยพระองค์เอง    แม้ด้วยการยกบทหนึ่ง ๆ  ขี้นอย่างนี้ว่า
จักษุ  เป็น ทุกขสัจจะ,   ปุริมตัณหาอันทำจักษุนั้นให้เกิดขึ้นโดยเป็น
เหตุ  เป็น สมุทยสัจจะ,     ความที่ทุกขสัจจะและสมุทยสัจจะทั้ง  ๒
เป็นไปไม่ได้   เป็น  นิโรธสัจจะ,     ปฏิปทาอันรู้ทั่วถึงการดับ   เป็น
มรรคสัจจะ.  ในโสตะ  ฆานะ  ชิวหา  และกาย   ก็มีนัยนี้.
          โดยนัยนี้แล  พึงประกอบอายตนะ ๖ มีรูปเป็นต้น,  กองวิญ-
ฌาณ ๖ มีจักขุวิญญาณเป็นต้น, ผัสสะ ๖ มีจักขุสัมผัสสะเป็นต้น,  เวทนา
๖  มีจักขุสัมผัสสขาเวทนาเป็นต้น,   สัญญา  ๖  มีรูปสัญญาเป็นต้น,
เจตนา ๖ มีรูปสัญเจตนาเป็นต้น,      กองตัณหา ๖ มีรูปตัณหาเป็นต้น,
วิตก ๖ มีรูปวิตกเป็นต้น, วิจาร ๖ มีรูปวิจารเป็นต้น,   ขันธ์  ๕  มีรูป-
ขันธ์เป็นต้น.    กสิณ  ๑๐,     อนุสติ ๑๐,    สัญญา ๑๐  ด้วยสามารถ
อุทธุมาตกสัญญา - ความสำคัญศพที่ขึ้นอืดเป็นต้น,   อาการ ๓๒ มีผม
เป็นต้น,  อายตนะ ๑๒   ธาตุ  ๑๘,  ภพ ๙ มีกามภพเป็นต้น,   ฌาน ๔
มีปฐมฌานเป็นต้น, อัปปมัญญา ๔ มีเมตตาภาวนาเป็นต้น,  อรูปสมาบัติ
๔,  และองค์ปฏิจจสมุปบาทมีชรามรณะเป็นต้น โดยปฏิโลม,  มีอวิชชา
เป็นต้น  โดยอนุโลมเข้าด้วยกัน.
         พึงทราบการประกอบบท ๆ หนึ่งดังต่อไปนี้   พระสัมมาสัมพุทธ-
เจ้าตรัสรู้    ตรัสรู้ยิ่ง    แทงตลอดธรรมทั้งปวงโดยชอบด้วยพระองค์เอง
ด้วยการยกบทหนึ่ง ๆ ขึ้นอย่างนี้ว่า ชรามรณะเป็น  ทุกขสัจจะ,  ชาติ
เป็น  สมุทยสัจจะ,  การออกไปทั้งสองอย่างนั้นเป็น  นิโรธสัจจะ,
ปฏิปทาอันรู้ทั่วถึงการดับเป็น  มรรคสัจจะ.
        ยังมีสิ่งที่ควรแนะนำอย่างใดอย่างหนึ่งอีก,  พระสัมมาสัมพุทธ-
เจ้า  พระนามว่า  สมฺมาสมฺพุทฺโธ  เพราะตรัสรู้สิ่งทั้งปวงโดยชอบด้วย
พระองค์เอง  ด้วย  วิโมกขันติกญาณ - ญาณอันเป็นที่สุดแห่งความ
หลุดพ้น.  วิภาคญาณของสัมมาสัมพุทธะนั้นจักมีแจ้งข้างหน้า.  ก็เพราะ
พระพุทธเจ้าทั้งปวงเหมาะสม  แม้ด้วยคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ฉะนั้นพระสารีบุตรจึงกล่าวว่า  สมฺมาสมฺพุทฺธานํ  ด้วยสามารถแห่ง
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
        ๘๗ - ๘๘]  บัดนี้  เพื่อแยกแสดงศีลอย่างหนึ่ง ๆ ออกเป็น  ๕
ส่วนในศีล ๒ หมวด  คือ  ปริยันตปาริสุทธิศีล  -  ศีลบริสุทธิ์มีที่สุด  ๑
อปริยันตปาริสุทธิศีล - ศีลบริสุทธิ์ไม่มีที่สุด ๑ พระสารีบุตรจึงกล่าว
บทมีอาทิว่า  อตฺถิ  สีลํ  ปริยนฺตํ, อตฺถิ สีลํ  อปริยนฺตํ  ศีลมีที่
สุดก็มี,  ศีลไม่มีที่สุดก็มี.  ก็ในศีล  ๒  อย่างนั้น  ไม่มีความต่างกันอย่าง
นั้นในศีล ๓  อย่าง.
        ในบทเหล่านั้นบทว่า  ลาภปริยนฺตํ - ศีลมีที่สุดเพราะลาภ  คือ
ชื่อว่า  ลาภปริยนฺตํ  เพราะศีลมีที่สุด  คือขาดเพราะลาภ.  แม้บทที่
เหลือก็อย่างนี้.