| พระสารีบุตรครั้นแสดงศีล ด้วยสามารถแห่งกุศลกรรมบถ ๑๐ |
| อย่างนี้แล้ว บัดนี้เพื่อจะแสดงธรรม ๓๗ มีเนกขัมมะเป็นต้น มีอรหัต- |
| มรรคเป็นปริโยสาน จึงกล่าวบทมีอาทิวา เนกฺขมฺเมน กามจฺฉนฺทํ |
| สํวรฏเน สีลํ, อวีติกฺกมฏเน สีลํ-ชื่อว่าศีล ด้วยอรรถว่าสำรวม |
| และไม่ก้าวล่วง กามฉันทะ ด้วย เนกขัมมะ. ในบทนั้นมีอธิบายว่า |
| เพราะภิกษุสำรวมไม่ก้าวล่วงกามฉันทะด้วยเนกขัมมะ, ฉะนั้น เนก- |
| ขัมมะ จึง เป็นศีล. อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า เนกขัมมะ เป็น |
| ตติยาวิภัตติลงในอรรถปฐมาวิภัตติ. ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้. แต่ในบาลี |
| ท่านแสดงเนกขัมมะและอัพยาบาทแล้วอัพยาบาทที่เหลือ เพราะมีนัยดังได้ |
| กล่าวแล้วในหนหลัง แล้วจึงแสดงอรหัตมรรคเท่านั้นไว้ในที่สุด |
| ๙๐] พระสารีบุตรครั้นแสดงศีลด้วยสามารถ การสำรวม และ |
| การไม่ก้าวล่วง อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อแสดงทั้งสองอย่างนั้นจึงกล่าว |
| บทมีอาทิว่า ปญฺจ สีลานิ ปาณาติปาตสฺส ปหานํ สีลํ - ศีล ๕ คือ |
| การละปาณาติบาตเป็นศีล. อนึ่ง ในบทนี้พึงประกอบว่า การละปาณา- |
| ติบาตเป็นศีล, การเว้นจากปาณาติบาตเป็นศีล, เจตนาเป็นปฏิปักษ์ต่อ |
| ปาณาติบาตเป็นศีล, ความสำรวมปาณาติบาตเป็นศีล การไม่ก้าวล่วง |
| ปาณาติบาตเป็นศีล. |
| บทว่า ปหานํ - การละ ความว่า ชื่อว่าธรรมไร ๆ เว้นจากเพียง |
| ไม่ให้เกิดปาณาติบาตเป็นต้น ดังกล่าวแล้วย่อมไม่มี, เพราะการละนั้นๆ |