อนึ่ง ผู้ใดกล่าวว่าพระโสดาบันเริ่มตั้งวิปัสสนา ด้วยคิดว่าเรา |
จักเข้าผลสมาบัติ ดังนี้ แล้วจะเป็นพระสกทาคามี, และพระสกทาคามี |
ก็จะเป็นพระอนาคามี ดังนี้. ผู้นั้นควรกล่าวว่า เมื่อเป็นอย่างนี้ พระ- |
อนาคามีก็จักเป็นพระอรหันต์. พระอรหันต์ก็จักเป็นพระปัจเจกพุทธะ |
และพระปัจเจกพุทธะก็จักเป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้. เพราะฉะนั้น ข้อนั้น |
จึงไม่มีอะไร. และก็ไม่ควรถือเอาโดยบาลีว่า ปฏิกฺขิตฺตํ - ถูกห้ามเสีย |
แล้วบ้าง. แต่ควรถือข้อนี้ไว้. ผลเท่านั้นย่อมเกิดแม้แก่พระเสกขะ มิใช่ |
มรรคเกิด. |
อนึ่ง หากว่า ผลของมรรคนั้นมีอยู่ เป็นอันว่า พระเสกขะ |
นั้นได้บรรลุมรรคอันมีในปฐมฌาน ญาณอันมีในปฐมฌานนั่นแล ย่อม |
เกิด, หากว่า มรรคมีในฌานอย่างใดอย่างหนึ่งในทุติยฌานเป็นต้น |
ญาณก็มีในฌานอย่างใดอย่างหนึ่งในทุติยฌานเป็นต้นเหมือนกัน เพราะ |
เหตุนั้น การเข้าสมาบัตินั้น ย่อมมีได้ด้วยประการฉะนี้แล. |
สมาบัตินั้นตั้งอยู่ด้วยอาการ ๓ เพราะบาลีว่า |
ดูก่อนอาวุโส ปัจจัย ๓ อย่าง คือ การ |
ไม่ใส่ใจถึงนิมิตทั้งปวง เพื่อความตั้งมั่นแห่งเจโต- |
วิมุตติ อันหานิมิตมิได้ ๑, การใส่ใจธาตุอันหา |
นิมิตมิได้ ๑ การปรุงแต่งในกาลก่อน ๑๑. |
|