ในบทมีอาทิว่า โสตาปตฺติผลสมาปตฺตตฺถาย - เพื่อต้องการได้ |
โสดาปัตติผลสมาบัติ พึงทราบผลสมาบัติอันเป็นอัปปณิหิตะในผลวาร ๔. |
เพราะเหตุไร ? เพราะท่านกล่าวถึงผลสมาบัติ ๒ เหล่านี้ คือ สุญฺ- |
ตวิหารสมาปตฺตถาย - เพื่อต้องการสุญญตวิหารสมาบัติ ๑ อนิมิตฺต- |
วิหารสมาปตฺตตฺถาย - เพื่อต้องการอนิมิตตวิหารสมาบัติ ๑ ไว้ต่างหาก |
กัน. |
พึงทราบอนิมิตตมรรคด้วยการออกจากอนิจจานุปัสนา, พึง |
ทราบอนิมิตตผลสมาบัติในกาลแห่งผลสมาบัติ, พึงทราบอัปปณิหิตมรรค |
และผลสมาบัติ ด้วยการออกจากทุกขานุปัสสนา, พึงทราบสุญญตมรรค |
และผลสมาบัติ ด้วยการออกจากอนัตตานุปัสสนา โดยนัยแห่งพระสูตร |
นั่นแล. |
อนึ่ง ในมรรควาร ๔ เหล่านี้ ท่านกล่าวถึงบทอันเป็นมูลเหตุ ๕ |
มีอาทิว่า อุปฺปาทํ - เกิดขึ้น, บทแห่งไวพจน์ ๑๐ มีอาทิว่า คตึ รวม |
เป็น ๑๕ บท. ในผลสมาบัติวาร ๖ ท่านกล่าวบทอันเป็นมูลเหตุ ๕ |
ไว้. |
หากถามว่าเพราะเหตุไร จึงกล่าวไว้อย่างนั้น. แก้ว่า เมื่อ |
สังขารุเบกขามีความแก่กล้า เพื่อแสดงถึงความแก่กล้าของสังขารุเบกขา |
นั้น เพราะมีมรรคสามารถในการละกิเลส ท่านจึงกล่าวบทอันเป็นมูล |
เหตุทำให้มั่นกับบทอันเป็นไวพจน์. เพื่อแสดงว่าสังขารุเบกขา แม้อ่อน |