ก็เป็นปัจจัยแก่ผล เพราะความที่ผลมีสภาพสงบโดยความที่หมดความ |
อุตสาหะ และเพราะเป็นที่อาศัยของมรรค พึงทราบว่า ท่านกล่าวถึง |
บทอันเป็นมูลเหตุเท่านั้น. |
บัดนี้ พระสารีบุตร ครั้นถามด้วยชาติแล้ว เพื่อจะแก้ด้วยการ |
ได้ จึงกล่าวบทมีอาทิว่า กติ สงฺขารุเปกฺขา กุสลา - สังขารุเบกขา |
เป็นกุศลเท่าไร ? |
ในบทนั้น บทว่า ปณฺณฺรส สงฺขารุเปกฺขา - สังขารุเบกขา |
เป็นกุศล มี ๑๕ ได้แก่ ด้วยสมถะ ๘ และด้วยมรรค ๔ ผล ๓ |
เป็น ๗ รวมเป็น ๑๕. สังขารุเบกขา ๘ ด้วยสามารถสมถะไม่สมควร |
แก่ธรรมชื่อว่า สังขารุเบกขา เพราะพระอรหันต์ไม่มีการพิจารณานิวรณ์ |
และเพราะเว้นความขวนขวายในการละวิตกวิจารเป็นต้น เป็นการละได้ |
โดยง่าย เพราะเหตุนั้น พึงทราบว่าท่านไม่กล่าวความที่สังขารุเบกขา |
เหล่านั้น เป็นอัพยากฤต. อนึ่ง พระอรหันต์ผู้เข้าผลสมาบัติ ไม่สามารถ |
เข้าสมาบัติ เว้นสังขารุเบกขาได้ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวสังขา- |
รุเบกขา ๓ ว่าเป็นอัพยากฤต. จริงอยู่ ชื่อว่า สังขารุเบกขา ๓ ของ |
พระอรหันต์ย่อมมีด้วยสามารถอัปปณิหิตะ สุญญตะ และอนิมิตตะ. |
บัดนี้ พึงทราบความในคาถาทั้งหลาย ๓ ที่ท่านกล่าวแล้วด้วย |
การพรรณนาถึงสังขารุเบกขา ดังต่อไปนี้. |
บทว่า ปฏิสงฺขา สนฺติฏฺนา ปญฺา - ปัญญาที่พิจารณา |
หาทางแล้ววางเฉย ได้แก่ สังขารุเบกขา. |