[๑๔๖]ในขณะแห่งอรหัตมรรค ญาณชื่อว่าสัมมาทิฏฐิ เพราะ |
อรรถว่าเห็น ฯลฯ ชื่อว่าสัมมาสมาธิ เพราะอรรถว่าไม่ไม่ซ่าน ย่อม |
ออกจากรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา มานานุสัย |
ภวราคานุสัย อวิชชานุสัย ย่อมออกจากเหล่ากิเลสที่เป็นไปตามมิจฉา- |
สมาธินั้น จากขันธ์ทั้งหลายและจากสรรพนิมิตภายนอก เพราะเหตุนั้น |
ท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการออกไปและหลีกไปจากกิเลส ขันธ์และ |
สังขารนิมิตภายนอกทั้งสอง เป็นมรรคญาณ. |
[๑๔๗] อริยมรรคสมังคีบุคคล ย่อมเผาสังกิเลส |
ที่ยังไม่เกิด ด้วยโลกุตรฌานที่เกิดแล้ว เพราะ |
เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวโลกุตรฌานว่าเป็นฌาน |
บุคคลนั้นย่อมไม่หวั่นไหว เพราะทิฏฐิต่าง ๆ |
เพราะความเป็นผู้ฉลาดในฌานและวิโมกข์ ถ้า |
พระโยคาวจรตั้งใจมั่นดีแล้ว ย่อมเห็นแจ้ง |
ฉันใด ถ้าเมื่อเห็นแจ้งก็พึงตั้งใจไว้ให้มั่นคงดี |
ฉันนั้น สมถะแลวิปัสสนาได้มีแล้วในขณะ |
นั้น ย่อมเป็นคู่ที่มีส่วนเสมอกันเป็นไปอยู่ |
ความเห็นว่าสังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ นิโรธ |
เป็นสุข ชื่อว่าปัญญาที่ออกจากธรรมทั้งสอง |
ย่อมถูกต้องอมตบท พระโยคาวจรผู้ฉลาดใน |