๗๕๔    ๖๘.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ ๖๘.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑    ๗๕๕
            [๑๔๖]ในขณะแห่งอรหัตมรรค   ญาณชื่อว่าสัมมาทิฏฐิ เพราะ
อรรถว่าเห็น  ฯลฯ  ชื่อว่าสัมมาสมาธิ  เพราะอรรถว่าไม่ไม่ซ่าน  ย่อม
ออกจากรูปราคะ    อรูปราคะ    มานะ   อุทธัจจะ   อวิชชา   มานานุสัย
ภวราคานุสัย   อวิชชานุสัย   ย่อมออกจากเหล่ากิเลสที่เป็นไปตามมิจฉา-
สมาธินั้น  จากขันธ์ทั้งหลายและจากสรรพนิมิตภายนอก   เพราะเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า   ปัญญาในการออกไปและหลีกไปจากกิเลส      ขันธ์และ
สังขารนิมิตภายนอกทั้งสอง    เป็นมรรคญาณ.
            [๑๔๗]  อริยมรรคสมังคีบุคคล    ย่อมเผาสังกิเลส
                    ที่ยังไม่เกิด  ด้วยโลกุตรฌานที่เกิดแล้ว  เพราะ
                    เหตุนั้น    ท่านจึงกล่าวโลกุตรฌานว่าเป็นฌาน
                    บุคคลนั้นย่อมไม่หวั่นไหว   เพราะทิฏฐิต่าง ๆ
                    เพราะความเป็นผู้ฉลาดในฌานและวิโมกข์   ถ้า
                    พระโยคาวจรตั้งใจมั่นดีแล้ว        ย่อมเห็นแจ้ง
                    ฉันใด   ถ้าเมื่อเห็นแจ้งก็พึงตั้งใจไว้ให้มั่นคงดี
                    ฉันนั้น   สมถะแลวิปัสสนาได้มีแล้วในขณะ
                    นั้น     ย่อมเป็นคู่ที่มีส่วนเสมอกันเป็นไปอยู่
                    ความเห็นว่าสังขารทั้งหลายเป็นทุกข์     นิโรธ
                    เป็นสุข    ชื่อว่าปัญญาที่ออกจากธรรมทั้งสอง
                    ย่อมถูกต้องอมตบท   พระโยคาวจรผู้ฉลาดใน
                 ความเป็นต่างกัน    และความเป็นอันเดียวกัน
                 แห่งวิโมกข์เหล่านั้น   ย่อมรู้วิโมกขจริยา  ย่อม
                 ไม่หวั่นไหวเพราะทิฏฐิต่าง ๆ  เพราะความเป็น
                 ผู้ฉลาดในญาณทั้งสอง   ฉะนี้แล.
            ชื่อว่าญาณ    เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ๆ  ชื่อว่าปัญญา   เพราะ
อรรถว่ารู้ชัด   เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า   ปัญญาในการออกไปและ
หลีกไปจากกิเลส   ขันธ์และสังขารนิมิตภายนอกทั้งสอง  เป็นมรรคญาณ.
อรรถกถามรรคญาณนิทเทส
           ๑๔๓]  พึงทราบวินิจฉัยในมรรคญาณนิทเทส     ดังต่อไปนี้
บทว่า    มิจฺฉาทิฏฺ€ิยา    วุฏฺ€าติ - ออกจากมิจฉาทิฏฐิ   คือ  ออกจาก
มิจฉาทิฏฐิ ๖๒  ด้วยสมุจเฉทโดยการละทิฏฐานุสัย  คือ ทิฏฐิที่นอนเนื่อง
อยู่ในสันดาน.
          บทว่า    ตทนุวตฺตกกิเลเสหิ -  จากกิเลสที่เป็นไปตามมิจฉา-
ทิฏฐินั้น  ได้แก่   จากกิเลสหลาย ๆ อย่างที่เป็นไปตามมิจฉาทิฏฐิอันเกิด
ขึ้น   ด้วยสามารถการประกอบกับมิจฉาทิฏฐิ     และด้วยอุปนิสัยคือการ
นอนเนื่องในมิจฉาทิฏฐิ.   ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวถึงการละกิเลสอันตั้ง
อยู่ในที่เดียวกันกับมิจฉาทิฏฐินั้น.   จริงอยู่  การตั้งอยู่ในที่เดียวกันมี ๒