[๒๐๓] พระโยคาวจรพิจารณาเห็นสังขารนิมิตโดยความเป็น |
ภัย มิจิตน้อมไปในนิพพานอันไม่มีสังขารนิมิต เพิกเฉยความเป็นไป |
แล้ว คำนึงถึงนิพพานอันเป็นที่ดับ ไม่มีสังขารนิมิตแล้วย่อมเข้าสมาบัติ |
นี้ชื่อว่า อนิมิตสมาบัติ พิจารณาเห็นตัณหาอันเป็นที่ตั้งโดยความเป็น |
ภัย มีจิตน้อมไปในนิพพานอันไม่มีตัณหาเป็นที่ตั้ง เพิกเฉยความเป็น |
ไปแล้ว คำนึงถึงนิพพานอันเป็นที่ดับ ไม่มีตัณหาเป็นที่ตั้ง แล้วย่อม |
เข้าสมาบัติ นี้ชื่อว่า อัปปณิหิตสมบัติ พิจารณาเห็นความถือมั่นว่าตน |
โดยความเป็นภัย มีจิตน้อมไปในนิพพานอันว่างจาก เพิกเฉยความ |
เป็นไปตัว คำนึงถึงนิพพานอันเป็นที่ดับ ว่างจากตน แล้วย่อมเข้า |
สมาบัติ นี้ชื่อว่า สุญญตสมาบัติ. |
[๒๐๔] พระโยคาวจรพิจารณาเห็นสังขารนิมิต โดยความ |
เป็นภัย มีจิตน้อมไปในนิพพานอันไม่มีสังขารนิมิต ถูกต้องแล้ว ๆ |
ย่อมเห็นความเสื่อมไป เพิกเฉยความเป็นไปแล้ว คำนึงถึงนิพพานอัน |
เป็นที่ดับ ไม่มีสังขารนิมิต แล้วย่อมเข้าสมาบัติ นี้ชื่อว่า อนิมิตวิหาร- |
สมาบัติ พิจารณาเห็นตัณหาอันเป็นที่ตั้งโดยความเป็นภัย มีจิตน้อมไป |
ในนิพพานอันไม่มีตัณหาเป็นที่ตั้ง ถูกต้องแล้ว ๆ ย่อมเห็นความเสื่อม |
ไป เพิกเฉยความเป็นไปแล้ว คำนึงถึงนิพพานอันเป็นที่ดับ ไม่มี |
ตัณหาเป็นที่ตั้ง แล้วย่อมเข้าสมาบัติ นี้ชื่อว่า อัปปณิหิตวิหารสมาบัติ |
พิจารณาเห็นความถือมั่นว่าตนโดยความเป็นภัย มีจิตน้อมไปในนิพพาน |