๘๘๔    ๖๘.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ ๖๘.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑    ๘๘๕
ทั้งท่านยังกล่าวอนุปัสนา ๙   มีวิวัฏฏนานุปัสนาเป็นต้น  ให้แปลกออกไป.
นี้เป็นความต่างกันแห่งอนุปัสนาเหล่านั้น.    ส่วนอนุปัสนา ๗ พึงทราบ
ว่า   ชื่อว่าพละ   เพราะอรรถว่าไม่หวั่นไหว   ชื่อว่าจริยา  เพราะอรรถว่า
มีความชำนาญ.  เพื่อแก้วสีที่ท่านกล่าวไว้ในบทนี้ว่า วสีภาวตา  ปฺา-
ปัญญาในคุวามเป็นผู้มีความชำนาญ     ท่านจึงกล่าวเป็นอิตถีลิงค์  วสีติ
ปญฺจ  วสิโย  คำว่า - วสี ๕.   ท่านอธิบายว่า     ความชำนาญ
นั่นแหละ   ชื่อว่า  วสี.
           พระสารีบุตรเถระเมื่อจะแก้ซึ่งวสีเหล่านั้น    ด้วยแสดงเป็นบุคลา-
ธิฏฐานอีก   จึงกล่าวบทมีอาทิว่า   อาวชฺชนาวสี -  ชำนาญในการนึก
ชื่อว่า    อาวชฺชนาวสี    เพราะมีความชำนาญในการนึก.     ในบทที่
เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
          บทว่า  ป€มํ   ฌานํ    ยตฺถิจฺฉกํ  - คำนึงถึงปฐมฌานได้ในที่
ที่ปรารถนา ความว่า  สมาปัตติลาภีบุคคลคำนึงในประเทศที่ตนปรารถนา
เป็นบ้านก็ตาม   ป่าก็ตาม.   บทว่า  ยทิจฺฉกํ - ปรารถนาในกาลใด  ความ
ว่า  คำนึงในเวลาหนาวก็ตาม   ร้อนก็ตาม.       อีกอย่างหนึ่ง   คำนึงถึง
ปฐมฌานที่ปรารถนามีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์ก็ตาม     มีกสิณที่เหลือเป็น
๑. ขุ. ป. ๓๑/มาติกายํ.
อารมณ์ก็ตาม.     แก้อย่างก่อนดึกว่า   เพราะท่านกล่าวถึงความเป็นผู้ชำ-
นาญฌาน    แม้มีกสิณอย่าหนึ่งเป็นอารมณ์ไว้แล้ว.
            บทว่า    ยาวติจฺฉกํ - ปรารถนาเพียงใด   คือ   คำนึงถึงกาลที่
ปรารถนาเพียงลัดนิ้วมือเดียวหรือ ๗ วัน.    บทว่า  อาวชฺชนาย  - ใน
การคำนึง  ได้แก่  มโนทวาราวัชชนะ.
            บทว่า  ทนฺธายิตตฺตํ - ความเนิ่นช้า  คือ  ความไม่เป็นไปใน
อำนาจ.    หรือความเกียจคร้าน.
            บทว่า  สมาปชฺชติ  -  ย่อมเข่า  คือ  ย่อมปฏิบัติ.     อธิบายว่า
ย่อมแนบแน่น.
            บทว่า  อธิฏฺ€าติ - ย่อมอธิฏฐาน  คือ  ตั้งใจทำให้ยิ่งในภายใน
สมาบัติ.   บทว่า  ป€มํ   ฌานํ    ในวุฏฐานวสี  เป็นทุติยาวิภัตติลงใน
อรรถแห่งปัญจมีวัตติ   แปลว่า   จากปฐมฌาน.
            บทว่า  ปจฺจเวกขติ  -  ย่อมพิจารณา   คือ  เห็นทันทีด้วยการ
ในรูปแห่งการพิจารณา.  นี้เป็นการพรรณนาบาลีในบทนี้.
            ต่อไปนี้เป็นการชี้แจงความ  เมื่อพระโยคาวจรออกจากปฐมฌาน
แล้วคำนึงถึงวิตกชวนจิต  ๔  หรือ   ๕  ดวง   มีวิตกเป็นอารมณ์   ย่อมแล่น
ไปในลำดับแห่งอาวัชชนจิตอันตัดภวังค์เป็นไป.   แต่นั้นภวังคจิต   ๒  ดวง
แล่นไป.    แต่นั้นอาวัชชนจิตมีวิจารเป็นอารมณ์แล่นไปโดยนัยดังกล่าว