ว่า วสีอันถึงที่สุดนี้ย่อมได้ในยมกปาฏิหาริย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า |
เท่านั้น ชื่อว่าอาวัชชนวสี. |
ความเป็นผู้สามารถในอัปปนา และความเป็นผู้สามารถเข้าฌาน |
นั้น ๆ ในวิถีแห่งอาวัชชนะในกาลนั้น ชื่อว่าสมาปัชชนวสี. ก็เมื่อ |
กล่าวอย่างนี้เป็นอันยุติและไม่ผิด. อนึ่งลำดับแห่งวสีย่อมควรตามลำดับ |
นั่นเอง. อนึ่ง ในการพิจารณาองค์แห่งฌาน เพราะท่านกล่าวไว้ว่า |
ชวนจิต ๕ ดวง ถึงที่สุดแล้ว แม้เมื่อชวนจิต ๗ ดวง แล่นไปโดยนัย |
ดังกล่าวแล้ว ก็ย่อมเป็นปัจจเวกขณวสีเหมือนกัน. |
เมื่อเป็นอย่างนั้นหากกล่าว่า คำว่า คำนึงถึงปฐมฌาน ย่อม |
ไม่ถูก. ท่านกล่าวฌานเป็นไปในกสิณ ว่าเป็นกสิณโดยเป็นอุปจารของ |
เหตุ ฉันใด. ท่านกล่าวกสิณมีฌานเป็นปัจจัย ก็ฉันนั้น ว่าเป็นฌาน |
โดยเป็นอุปจานแห่งผล ดุจในคำมีอาทิว่า สุโข พุทธานมุปฺปาโท-๑ |
การเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นความสุข. แม้เมื่อมีการก้าวลง |
สู่ฌานอีก ดุจในการที่บุคคลตื่นจากหลับตามกาลที่กำหนดไว้แล้วก้าวลง |
สู่ความหลับอีก ชื่อว่าอธิฏฐานวสี. แม้เมื่อมีการอธิฏฐานในการลุกขึ้น |
ของผู้ที่ลุกขึ้นตามกาลที่กำหนด ก็ชื่อว่าวุฏฐานวาสี. นี้เป็นความต่างกัน |
ของวสีเหล่านั้น ด้วยประการฉะนี้. |
เพื่อชี้แจงนิโรธสมาบัติจึงมีปัญหาดังต่อไปนี้ นิโรธสมาบัติเป็นอย่าง |
อย่างไร. ใครเข้านิโรธสมาบัตินั้น. ใครไม่เข้า. เข้าในที่ไหน |
|