๘๙๐    ๖๘.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ ๖๘.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑    ๘๙๑
วิปัสสนากล้าแข็งเช่นกับมรรคภาวนาจึงควร.     ส่วนนิโรธสมาปัตติ-
วิปัสสนา  ได้อ่อนเกินไป  ไม่กล้าแข็งเกินไปนั่นแหละจึงควร.   เพราะ
ฉะนั้น  ภิกษุนั้นจึงพิจารณาเห็นแจ้งสังขารเหล่านั้น   ด้วยวิปัสสนาอัน
ไม่อ่อนเกินไป       ไม่กล้าแข็งเกินไป.    แต่นั้นจึงเข้าตติยฌาน   ฯลฯ
วิญญาณัญจายตนะครั้นออกแล้วกระทำกิจเบื้องต้น  ๔  อย่าง  คือ.
            นานาพัทธอวิโกปนะ  ๑
            สังฆปฏิมานนะ  ๑
            สัตถุปักโกสนะ  ๑
            อัทธานปริจเฉทะ  ๑.
            ในกิจ  ๔ อย่างนั้น  บทว่า  นานาพทฺธอวิโกปนํ   - ไม่ให้ของ
ใช้ต่างๆ เสียหาย.   ความว่า  สิ่งใด  ที่ไม่เป็นของใช้เนื่องเป็นอันเดียว
กันกับภิกษุนี้    เป็นของใช้ต่าง ๆ  ที่ตั้งไว้  เช่น  บาตร   จีวร   เตียง  ตั่ง
ที่อยู่อาศัย   หรือแม้บริขารไร ๆ อย่างอื่น,   ไม่ให้ทำลายสิ่งนั้น.  ไม่ให้
เสียหายไปด้วย  ไฟ   น้ำ   ลม   โจร   และหนูเป็นต้น   โดยประการใด
พึงอธิฏฐานโดยประการนี้.    วิธีอธิฏฐานมีว่าดังนี้   ในภายใน ๗ วันนี้
ขอสิ่งนี้ ๆ จงอย่าถูกไฟไหม้,  อย่าถูกน้ำพัดไป.   อย่าถูกลมกำจัด,   อย่า
ถูกโจรลัก,  อย่าถูกหนูกัดเป็นต้น.     เมื่ออธิฏฐานอย่างนี้ตลอด ๗ วัน
นั้นจะไม่มีอันตรายใด ๆ แก่สิ่งเหล่านั้น.  แต่เมื่อไม่อธิฏฐาน  จะเสียหาย
ด้วยไฟเป็นต้น.   นี้ชื่อว่านานาพัทธอวิโกปนะ.   แต่สิ่งใดที่ใช้เนื่องเป็น
อันเดียวกัน   เช่น  ผ้านุ่ง  ผ้าห่ม  ที่นั่ง   ในสิ่งนั้นไม่มีกิจที่จะอธิฏฐาน
ต่างหาก.   สมาบัตินั่นแลย่อมคุ้มครองสิ่งนั้นนั่นแล.
          บทว่า   สงฺฆปฏิมานนํ  -  การรอท่าสงฆ์   ได้แก่  การรอท่า  คือ
การเห็นภิกษุสงฆ์.   อธิบายว่า  ไม่ทำสังฆกรรม   จนกว่าภิกษุรูปนั้นจะ
มา.   อนึ่ง  ในบทนี้การรอท่ามิใช่เป็นบุพกิจของภิกษุนี้.   แต่การนึกถึง
การรอท่าเป็นบุพกิจ  เพราะฉะนั้นวรนึกถึงอย่างนี้ว่า  หากตลอด  ๗  วัน
เมื่อนั่งเข้านิโรธสงฆ์ประสงค์จะทำกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง   ในอปโลกน-
กรรมเป็นต้น.   เราจักออกโดยภิกษุรูปใดรูปหนึ่งไม่มาเรียกเรา.  ก็ภิกษุ
ทำอย่างนี้แล้วเข้าสมาบัติ   ย่อมออกได้ในสมัยนั้นนั่นเอง.     แต่ภิกษุใด
ไม่ทำอย่างนี้.   ทั้งสงฆ์ก็ประชุมกันแล้ว     เมื่อไม่เห็นภิกษุนั้น   จึงถามว่า
ภิกษุรูปโน้นไปไหน   เมื่อตอบว่า   กำลังเข้าสมาบัติ     จึงส่งภิกษุรูปหนึ่ง
ไปว่า  ท่านจงไปเรียกภิกษุนั้นตามคำของสงฆ์.   ลำดับนั้น    เพียงคำ
อันภิกษุนั้นยินอยู่ในที่ใกล้พอจะได้ยินกล่าวว่า  อาวุโส    สงฆ์รอท่าน
เท่านั้น  ดังนี้  ภิกษุนั้นเป็นอันออกจากนิโรธ.  เพราะว่า  ชื่อว่า  อาณา
คืออำนาจของสงฆ์หนักถึงอย่างนี้.   ฉะนั้นพึงเข้านิโรธโดยอาการที่ภิกษุ
นั่นนึกถึงแล้วออกจากนิโรธก่อน.
         บทว่า  สตฺถุ  ปกิโกสนํ -  พระศาสดาตรัสเรียกหา   แม้ในบทนี้
การนึกถึงการเรียกหาของพระศาสดาก็เป็นบุพกิจของภิกษุนี้.      เพราะ
ฉะนั้นควรนึกถึงบุพกิจนั้นอย่างนี้ว่า   หากว่า  เมื่อเรานั่งเข้านิโรธตลอด