๖๑.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗    ๑๑
นางถึงความเป็นผู้เลิศด้วยลาภยศ  จำต้องบวชเสียก่อน  จึงจักสามารถกระทำได้
นอกจากนี้แล้วไม่มีทาง.     ลำดับนั้น       พระมหาสัตว์จึงเรียกนางมากล่าวว่า
ดูก่อนนางผู้เจริญ    เมื่อเรายังไม่ได้นำอะไร ๆ  ออกมาจากป่า    การครองชีพ
ของเราทั้งสองย่อมเป็นไปไม่ได้    เจ้าอย่ากระสันวุ่นวายไปจนกว่าเราจะกลับมา
เราจักเข้าไปสู่ป่าดังนี้แล้ว     กล่าวเตือนบริวารว่า    แม้พวกเจ้าผู้อยู่เฝ้าเรือน
ก็อย่าละเลย  ช่วยดูนางผู้เป็นภรรยาของเราด้วย  ดังนี้ แล้วก็เข้าไปสู่ป่าบรรพชา
เพศเป็นสมณะ  มิได้ประมาทมัวเมา  บำเพ็ญสมาบัติ  ๘   และอภิญญา ๕  ให้
เกิดขึ้นในวันที่  ๗  คิดว่า  บัดนี้เราจักสามารถเป็นที่พึ่ง  แก่นางทิฏฐมังคลิกาได้
จึงเหาะมาด้วยฤทธิ์ไปลงตรงประตูจัณฑาลคาม   แล้วได้เดินไปสู่ประตูเรือนของ
นางทิฏฐมังคลิกา.  นางได้ยินข่าวการมาของมาตังคบัณฑิตแล้วจึงออกจากเรือน
แล้วร้องไห้คร่ำครวญว่า   ข้าแต่ท่านผู้เป็นสามี   เหตุไฉนท่านจึงไปบวช   ทิ้ง
ฉันไว้ไร้ที่พึ่งเล่า.  ลำดับนั้น   มาตังคดาบสจึงปลอบโยนนางว่า  ดูก่อนน้องนาง
ผู้เจริญ   เจ้าอย่าเสียใจไปเลย   คราวนี้เราจักกระทำให้เจ้ามียศใหญ่ยิ่งกว่ายศที่
มีอยู่เก่าของเจ้า    ก็แต่ว่า   เจ้าจักสามารถประกาศแม้ข้อความเพียงเท่านี้      ใน
ท่ามกลางบริษัทได้ไหมว่า    มาตังคบัณฑิตไม่ใช่สามีของเรา   ท้าวมหาพรหม
เป็นสามีของเรา  ดังนี้.    นางรับคำว่า    ข้าแต่ท่านผู้เป็นสามี    ดิฉันสามารถ
ประกาศได้.  มาตังคดาบสจึงกล่าวว่า  คราวนี้ถ้ามีผู้ถามว่า  สามีของเธอไปไหน?
ก็จงตอบว่า  ไปพรหมโลก  เมื่อเขาถามว่าเมื่อไรจักมา  จงบอกเขาว่า  นับแต่
วันนี้ไปอีก  ๗  วัน     ท้าวมหาพรหมผู้เป็นสามีของเราจักแหวกพระจันทร์มาใน
วันเพ็ญ.    ครั้นมหาสัตว์เจ้ากล่าวกะนางอย่างนี้แล้ว     ก็เหาะกลับไปสู่หิมวันต
ประเทศทันที     ฝ่ายนางทิฏฐมังคลิกาก็เที่ยวไปยืนประกาศข้อความตามที่
พระโพธิสัตว์สั่งไว้ ในที่ทุกหนทุกแห่งท่ามกลางมหาชน ในพระนครพาราณสี.
หน้า ๑๐